เตือน กลุ่มเสี่ยง "ความดันโลหิตสูง" ปล่อยไว้อันตรายถึงชีวิต 

28 มิ.ย. 2567 | 15:10 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มิ.ย. 2567 | 15:11 น.

กรมการแพทย์ แนะ หมั่นตรวจความดันโลหิตเป็นประจำทำได้เองที่บ้าน แนะวัดเช้าและเย็น อย่างน้อย 3-7 วัน ก่อนนำมาหาค่าเฉลี่ยโดยตัดค่าของวันแรกออก หากค่าความดันมากกว่า 135/85 มิลลิเมตรปรอท ถือว่า มีความเสี่ยงจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง

28 มิถุนายน 2567 นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผย โรคความดันโลหิตสูง คือ ผู้ที่มีความดันโลหิตมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โรคความดันโลหิตสูงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิ (essential/primary hypertension) คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่สามารถพบได้บ่อยที่สุดและยังไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

ส่วนใหญ่มักจะเกิดในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปมักจะเกิดจากพันธุกรรม และสภาพแวดล้อม เช่น คนในครอบครัวมีประวัติของโรคความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม หรือการที่มีน้ำหนักตัวเกิน

รวมถึงโรคร่วมอื่น ๆ ที่มีผลทางอ้อมที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ไรคไตเสื่อม โรคนอนกรน เป็นต้น ซึ่งความดันโลหิตสูงแบบปฐมภูมิสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน

ดังนั้น การรักษาต้นเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นอาจช่วยลดความดันโลหิตลงได้บ้าง แต่ยังจำเป็นต้องใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดไป 

ความดันโลหิตสูงแบบทุติภูมิ (secondary hypertension) คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุมาจากโรค ภาวะ สารหรือยาบางอย่างที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น เกิดภาวะความดันโลหิตสูงจากโรคที่เกี่ยวกับระบบไต ระบบหลอดเลือด หรือระบบต่อมไร้ท่อ

รวมไปถึงการใช้ยาหรือสารบางอย่างที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งการรักษาจากสาเหตุตั้งต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถทำให้ความดันกลับมาเป็นปกติได้ 

เตือน กลุ่มเสี่ยง \"ความดันโลหิตสูง\" ปล่อยไว้อันตรายถึงชีวิต 

ด้าน นพ.เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของโรคความดันโลหิตสูง มักจะไม่มีอาการผิดปกติจะตรวจพบได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจวัดความดันโลหิตเท่านั้นแต่ในกรณีที่มีความดันโลหิตสูงมาก ๆ อาจมีอาการปวดศรีษะ ตึงบริเวณต้นคอ มึนเวียน ตาพร่ามัวได้

ในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤติ (Hypertensive emergency) คือ ผู้ที่ค่าความดันโลหิตที่มากกว่า 180/100 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปร่วมกับมีอาการของระบบใดระบบหนึ่งที่ผิดปกติร่วมด้วย เช่น มีอาการเหนื่อยจากภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการเจ็บหน้าอกจากภาวะหัวใจขาดเลือด มีอาการซึม พูดจาสับสน ปวดศรีษะมาก อาเจียนจากภาวะทางสมอง แขน/ขาอ่อนแรงจากภาวะเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก หรือภาวะไตวายเฉียบพลัน

หากมีอาการดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการรักษาในทันทีโดยการให้ยาทางหลอดเลือดเพื่อลดความดันโลหิตลงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยภายในระยะเวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมง

นอกจากนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/100 มิลลิเมตรปรอทแต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยการรับประทานยาเพื่อลดความดันโลหิตให้กลับมาเป็นปกติภายในระยะเวลา 2-3 วัน

ทั้งนี้ หากปล่อยให้มีความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ ดังนี้ 

ระบบหัวใจและหลอดเลือด

  • ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว ผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดใหญ่โป่งพอง เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณขาหรือแขนอุดตัน และหัวใจล้มเหลว 

ระบบสมอง

  • ทำให้เกิดเส้นเลือดสมอง/เส้นเลือดที่คอตีบ เส้นเลือดสมองโป่งพองหรือแตก เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต  

ระบบตา

  • ทำให้เกิดผลกระทบกับเส้นเลือดที่บริเวณจอประสาทตาเกิดเลือดออก เส้นเลือดหนาตัวมากขึ้น จนจอประสาทตาบวม ทำให้มีผลกระทบต่อการมองเห็น แต่ส่วนใหญ่แล้วภาวะดังกล่าวจะดีขึ้นหากลดความดันโลหิตลงได้ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างถาวร 

ดังนั้น หากพบว่า ตนเองมีความดันโลหิตสูง ควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ไปพบแพทย์เพื่อรับยารักษาความดัน และโรคอื่นร่วมด้วย ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มมึนเมา ลดน้ำหนัก และออกกำลังกายในระดับปลานกลางอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะ ๆ อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที เลิกสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียดจากการทำงาน