นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการแพทย์เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญ ที่ภาครัฐมุ่งหวังให้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Medical Hub โดยในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ยกระดับจากกระทรวงที่ดูแลเรื่องสุขภาพของคนไทย เป็นกระทรวงที่สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560-2569 แบ่งออกเป็น 4 ผลผลิตหลัก คือ
1. ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)
2. ศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาล (Medical Service Hub)
3. ศูนย์กลางบริการวิชาการ (Academic Hub)
4. ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
ปัจจุบันได้มีการเตรียมความพร้อมสู่การพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ โดยใช้ศักยภาพความแข็งแกร่งด้านระบบบริการสุขภาพของประเทศผนวกกับ 7 จุดแข็งที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย
1. แหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงที่ชาวต่างชาติรู้จัก
2. มีความพร้อมของสถานพยาบาลที่มีชื่อเสียงได้มาตรฐานในระดับโลก ให้บริการทางการแพทย์ครบวงจร ซึ่งคนทั่วโลกให้การยอมรับ
3. มีแพทย์และบุคลากรที่มีความรู้และเชี่ยวชาญรองรับความต้องการในการรักษาพยาบาลของชาวต่างชาติ 4. อัตราค่าบริการในการรักษาพยาบาลมีความเหมาะสมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
5. คนไทยมีเซอร์วิสมายด์ในการบริการ เรามียิ้มสยาม เป็นจุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความใจดี ความโอบอ้อมอารี ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เราควรรักษาไว้
6. ประเทศไทยมีสิ่งอำนวย ความสะดวกที่ครบถ้วน
7. ประเทศไทยมีภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และมีผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
จุดแข็งทั้ง 7 ที่กล่าวมาแล้ว ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ไทยมีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะพัฒนาและยกระดับให้ประเทศไทย สามารถก้าวไปสู่การเป็น Medical Hub ได้อย่างเต็มรูปแบบ
“ปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวสำเร็จได้นั้น ส่วนหนึ่งจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ เพื่อแสดงศักยภาพ ทางการแพทย์ของไทยในระดับนานาชาติ นับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมจัดนิทรรศการ EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN โดยมีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการดำเนินการจัดนิทรรศการ”
สำหรับแนวคิดหลักของการจัดงานในครั้งนี้ คือ “Designing Future Society For Our Live” การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ เพื่อเป้าหมายชีวิตที่มีความสุข และสุขภาพดี ธีมหลักของนิทรรศการไทย คือ “THAILAND Connecting Lives for Greatest Happiness”สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่
ส่วนธีมรอง คือ Thai-Smile Connecting Happiness World Destination ยิ้มสยามที่ก่อให้เกิดความสุขเป็นเป้าหมายปลายทางของคนทั่วโลก โดยแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย เน้นความเป็นไทยร่วมสมัยและนำแนวคิดหลักของงานมาพัฒนาต่อยอดให้เป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมต่อคนทั้งโลกได้ตั้งแต่ ภูมิจากธรรมชาติ ภูมิจากวิถี วัฒนธรรม นวัตกรรม จนถึงภูมิคุ้มกันจากศักยภาพ และความพร้อมด้านสาธารณสุข
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการเข้าร่วมงานครั้งนี้คือ ประเทศไทยได้ขยายโอกาสในการลงทุนด้านสุขภาพ และได้นำเสนอความเป็นไทยสู่สายตาชาวต่างชาติ เพื่อให้ได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันและมีความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และพร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านสุขภาพด้านการท่องเที่ยว
สำหรับอาคารนิทรรศการไทย “ภูมิพิมาน” แบ่งโซนจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย
1. “ภูมิวิถี” เปิดอรรถรสแห่งการเดินทางเข้าสู่ภูมิพิมาน ดินแดนที่รุ่มรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณี อันดีงาม รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของอาหารที่ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก
2. “ภูมิคุ้มกัน” ไฮไลท์สำคัญในการจัดแสดง ถ่ายทอดเรื่องราวจากภูมิวิถีแบบไทย พัฒนาสู่นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายสำคัญด้านการแพทย์และสุขภาพของโลก
3. “ภูมิสยาม” เข้าถึงภูมิแบบไทย ผ่านห้องทดลองวิถีไทย ร่วมสัมผัสเมนูอาหารไทย ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทย และรอยยิ้มสยามที่ทั่วโลกประทับใจ ร้อยเรียงเรื่อราวชวนติดตาม เพื่อปักหมุดประเทศไทยสู่หมุดหมายด้านสุขภาพของโลก ได้แก่
สำหรับอาคารนิทรรศการไทย ในงาน EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใน พื้นที่ A13 โซน Connecting Lives ที่ใช้ชื่อว่า “วิมานไทย (VIMANA THAI)” เป็นอาคารที่มีความสวยงาม โดดเด่น ด้วยอัตลักษณ์ของไทยที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ ผสมผสานแนวคิดการลดการใช้พลังงานและเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม 2568