นายมาริษ กรัณยวัฒน์ เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มตัวแทนเด็กและเยาวชนเข้ายื่นหนังสือต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงเทศกาลวันเด็กปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อขอให้คงไว้ซึ่งกฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า
โดยกล่าวว่าการที่กลุ่มต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าเคลื่อนไหวโดยการนำเด็กและเยาวชนมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้คงไว้ซึ่งแบนทิพย์นั้น เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง การที่อ้างว่า ปัจจุบันเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไทยในรูปแบบตัวการ์ตูน กล่องนม เครื่องเขียน รวมถึงปัญหาอายุเฉลี่ยของเด็กที่พบว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่ต่ำลงเรื่อย ๆ นั้น ล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากกฎหมายแบนที่ไร้ประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ในฐานะผู้ใหญ่และตัวแทนผู้บริโภคเห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าต้องถูกควบคุมด้วยกฎหมายที่ชัดเจน ระบุอายุผู้ซื้อขาย กำหนดรูปแบบและหน้าตาของบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อไม่ให้ดึงดูดเด็กและเยาวชน
รวมถึงกำหนดพื้นที่ซื้อขายให้ห่างไกลโรงเรียนสถานศึกษา โดยเชื่อว่ามีเพียงวิธีดังกล่าวนี้เท่านั้นที่จะช่วยปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง
นายมาริษ กล่าวอีกว่า ล่าสุดมีสื่อรายงานตัวเลขการส่งออกบุหรี่ไฟฟ้าจากจีนสู่ไทยโดยเวปไซด์ศุลกากรจีนคิดเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่า มีบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนมหาศาลลักลอบขายในตลาดใต้ดินประเทศไทยในปัจจุบัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนประเด็นดรามาในสังคมออนไลน์ที่กล่าวถึงการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะ เช่น คอนเสิร์ต นั้น ล่าสุดมีการประกาศห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้าพื้นที่แสดงคอนเสิร์ต ก็เป็นการยืนยันชัดว่าในปัจจุบันนั้นมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก
และประเทศไทยต้องการกฎหมายที่ชัดเจนที่จะระบุว่าพื้นที่ใดใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้ พื้นที่ใดใช้ไม่ได้ ซึ่งการแบนมีแต่จะทำให้การใช้บุหรี่ไฟฟ้าแบบไม่เลือกที่กลายเป็นความปกติใหม่