เตือน! วิตามินดีต่ำเหมือนใช้ชีวิตผิด สำคัญอย่างไร อ่านที่นี่

30 มี.ค. 2566 | 12:30 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มี.ค. 2566 | 12:30 น.

เตือน! วิตามินดีต่ำเหมือนใช้ชีวิตผิด สำคัญอย่างไร อ่านที่นี่ หมอธีระวัฒน์แนะเลือกอาหารที่มีวิตามินดี รับแสงแดด ออกกำลังกาย เลิกผัดวันประกันพรุ่ง จะรอทำอาทิตย์หน้า เดือนหน้า

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสเฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) ระบุว่า การมีวิตามินดีต่ำเปรียบเสมือนการใช้ชีวิตผิด

หมอธีระวัฒน์ บอกชัดเจนว่า เรื่องเกี่ยวกับวิตามินดีเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญมาก เพราะในเวลาที่ผ่านมามีการให้ความสำคัญ จนกระทั่งต้องมีการตรวจวัดระดับของวิตามินดีในการตรวจสุขภาพ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

นอกจากนี้ มีการเสริมวิตามินดีถ้าพบว่ามีระดับต่ำ จนกระทั่งมีการเสริมวิตามินดีเพื่อใช้ในการป้องกันโรคหรือภาวะต่างๆ ตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจและเส้นเลือดตีบ เบาหวาน และเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงสำหรับการเสียชีวิตด้วยสาเหตุต่างๆ

หมอธีระวัฒน์ ได้หยิบยกการศึกษาวิจัย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการใช้วิตามินดีในจุดประสงค์ต่างๆดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ และหน่วยงานอิสระของรัฐสภาสหรัฐฯ US preventive task forces ที่ทำหน้าที่ในการประเมินการใช้ยาต่างๆว่าเกิดประโยชน์และคุ้มค่าจริงหรือไม่ 

ได้ประกาศหลายครั้งด้วยกันว่าไม่ควรต้องมีการเจาะระดับของ "วิตามินดี" เพื่อเสริม หรือเติมเข้าไปเพื่อหวังปราศจากโรค อายุยืน ทั้งนี้หน่วยงานดังกล่าวไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสมาคมผู้เชี่ยวชาญต่างๆ หรือบริษัทจำหน่ายยาต่างๆ

โดยได้นำเนื้อหาจากคุณหมอ F.Perry Wilson ใน Medscape วันที่ 29 พฤศจิกายน 2022 ที่ได้สรุปผลของการศึกษาต่างๆ รวมทั้งการวิเคราะห์อภิมาน จนกระทั่งถึงการรายงานล่าสุดถึงความล้มเหลวในการใช้วิตามินดีเสริมในเด็กที่ตรวจพบว่าขาดวิตามินดีเพื่อที่จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นและเจริญเติบโตดีขึ้น และในการป้องกันวัณโรค
 

หมอธีระวัฒน์บอกว่า เนื้อหาที่สำคัญที่จะสื่อก็คือ ระดับของ "วิตามินดี" นั้น แท้ที่จริงเป็นเพียงตัวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยถ้ากินอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์โดยไม่กินอาหารร้อนแรงที่ก่อให้เกิดการอักเสบออกกำลังกายสม่ำเสมอภายใต้แสงแดด ระดับวิตามินดีก็จะไม่ต่ำ

ประเด็นที่สำคัญในรายการก็คือ คนที่เจาะเลือดแล้วมีระดับวิตามินดีต่ำนั้น จะกลายเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญให้ปรับปรุงการใช้ชีวิต อาหารการกิน และการออกกำลังทั้งหมด

รายงานจากการสังเกต (observational study) ในยุคแรกๆ จะพบว่าระดับวิตามินดีที่ต่ำนั้นเกี่ยวข้องกับภาวะหรือโรคแทบทุกชนิด แต่ทั้งหมดไม่ได้พิสูจน์ว่าการขาดวิตามินดีทำให้เกิดโรค หรือเป็นเหตุเป็นผลกัน แท้จริงเป็นเพียงเสมือนดัชนีชี้ความบกพร่องทางสุขภาพเท่านั้น

  • ในเรื่องของการป้องกันมะเร็งซึ่งเชื่อกันว่า ถ้ามีวิตามินดีต่ำจะเป็นมะเร็งมาก แต่เมื่อทำการศึกษาใน 26,000 รายเทียบกับยาหลอก ไม่พบว่ามีประโยชน์จริง
  • ในเรื่องโรคหัวใจและเส้นเลือดซึ่งเชื่อกันว่าถ้ามีวิตามินดีต่ำจะมีความเสี่ยงมากขึ้นและเช่นเดียวกันใน 26,000 รายไม่พบว่ามีประโยชน์จริง
  • ในเบาหวานการศึกษาใน 2,400 รายที่อยู่ในระยะเกือบจะเป็นเบาหวาน (pre-diabetics) ไม่พบว่ามีประโยชน์จริง
  • ในเรื่องของการหกล้มการศึกษาใน 409 รายที่มีความเสี่ยงในการล้มไม่พบว่ามีประโยชน์
  • การศึกษาในสตรี 36,000 ราย ไม่พบว่าลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต (Manson และคณะวารสารนิวอิงแลนด์ 2019 Pittas และคณะวารสารนิวอิงแลนด์ 2019 LaCroix และคณะวารสาร Gerontol 2009)
     

ขณะที่รายงานล่าสุดในวารสาร JAMA pediatrics สมาคมแพทย์อเมริกัน โดย ดร. Ganmaa จากภาควิชาโภชนาการ Harvard T.H. Chan school of public health และคณะจาก Barts and the London school of medicine and dentistry, Queen Mary university of London
ครั้งนี้คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาและติดตามเด็ก 8,851 คนจากบริเวณ Ulaanbaartar มองโกเลีย โดยให้เด็กๆได้รับวิตามิน D3 ในปริมาณ 14,000 หน่วย หรือได้รับยาหลอกอาทิตย์ละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลาสามปี

ประชากรในบริเวณนี้ พบว่ามีอัตราการขาดวิตามินดีอย่างมากและมีวัณโรค รวมกระทั่งถึงมีอัตราการเจริญเติบโตในเด็กผิดปกติ โดยก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะเชื่อมโยงว่าการขาดวิตามินดีทำให้เกิดความเสี่ยงหรือการเกิดโรคเหล่านี้

ส่วนรายงานที่เกี่ยวกับวัณโรค โดยคณะผู้วิจัยนี้ ตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์วันที่ 23 กรกฎาคม 2020 ก่อนหน้ารายงานนี้ ในเด็ก 8,851 คนโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มวิตามินดีและยาหลอก ไม่พบว่าการให้วิตามินดีเสริมจะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อวัณโรค การเกิดโรควัณโรค หรือการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจในเด็กเหล่านี้ 

และรวมจนกระทั่งถึงระดับแกมมา-อินเตอร์เฟียรอนในเลือด 95% ของเด็กในกลุ่มที่ทำการศึกษาจะมีระดับวิตามินดีต่ำกว่ามาตรฐาน คือต่ำกว่า 20 ng/mL และ 31.8% อยู่ในระดับต่ำมากๆ คือต่ำกว่า 10 ng/mL อีก 63.7% อยู่ในระดับ 10 ถึง 19.9 ng/mL อยู่ในระดับ 20 ถึง 29.9 เพียง 4.3% และมีเพียง 0.1% ที่มีระดับสูงกว่า 30 ng/mL

บทสรุปของรายงานฉบับดังกล่าวก็คือ การติดตามพัฒนาการตลอดระยะเวลาสามปี ไม่พบว่ามีความแตกต่างกันในกลุ่มที่ได้รับวิตามินดีเสริมหรือยาหลอก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และปริมาณแคลเซียมที่ได้รับในระดับน้อยหรือมากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน ในด้านความสูงและน้ำหนัก และดัชนีมวลกาย อัตราส่วนระหว่างสะโพกกับความสูง เปอร์เซ็นต์ของไขมันในร่างกาย และมวลที่ไม่ใช่ไขมัน (percentage body fat, fat mass และ fat free mass) และการพัฒนาการเข้าในภาวะหนุ่มสาว

ทั้งนี้การเสริมวิตามินดีดังกล่าวทำให้ระดับของวิตามินดี 25 (OH) D สูงขึ้น จนถึงระดับปกติ

บทสรุปที่เกี่ยวข้องกับวิตามินดีจนกระทั่งถึงปัจจุบันในปลาย ปี 2022 นี้ เป็นบทพิสูจน์ชัดเจนว่าสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติกันมาจนแพร่หลาย เป็นเพียงการค้นพบความสัมพันธ์ของการที่มีระดับวิตามินดีต่ำกับโรคทั้งหลายทั้งปวง แต่ไม่ใช่สาเหตุ

และแล้ววิตามินดีที่ต่ำนี้ เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนว่า ต้นทุนสุขภาพอยู่ในระดับต่ำ และสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยตนเอง 

หมอธีระวัมน์ แนะนำว่า เลือกอาหารที่มีวิตามินดี แดด ออกกำลัง เลิกผัดวันประกันพรุ่ง จะรอทำอาทิตย์หน้า เดือนหน้า ถึงตอนนั้นโรคที่สะสมซ่อนอยู่ในร่างกายจะดาหน้าออกมา และระบบสาธารณสุขเราจะรอดหรือ