เปิดกลุ่มโรคร้าย-ปัจจัยเร่งสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง ป้องกันยังไง อ่านเลย

13 มี.ค. 2566 | 18:16 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2566 | 18:16 น.
1.4 k

เปิดกลุ่มโรคร้าย-ปัจจัยเร่งสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง ป้องกันยังไง อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ หมอธีระวัฒน์ ชี้อาหารการกินในทุกวันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

โรคสมองเสื่อมเสมือนภัยเงียบที่เกิดอย่างช้าๆ แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำรงชีวิต

ทั้งนี้ มีปัจจัยหลากหลายที่เป็นตัวเร่งให้เกิด 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า ตัวเร่งตัวร้ายที่มีผลต่อโรคสมองเสื่อม ได้แก่ กลุ่มโรคตัวร้ายสร้างความอักเสบภายในร่างกาย อ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน เส้นเลือด 

โรคเหล่านี้ส่งผลต่อสมองได้ แม้แต่มลพิษในอากาศ PM 2.5 อาหารร้อนแรง กระบวนการปรุงแต่งอาหาร ล้วนมีผลต่อภายใน น้ำ อากาศ สารเคมี ก็เช่นกัน จึงต้องดึงตัวดีเข้ามาสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย เลือกผัก ผลไม้ ปลอดสาร ใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหลายชนิด โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่หาหมอหลายโรค 

ต้องดูตัวยาด้วยว่าซ้ำซ้อนกันหรือไม่ หรือมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร เพราะร่างกายไม่ใช่สนามรบของยา ยาเป็นแค่ตัวช่วยบรรเทา รักษา ชะลอโรคได้ แต่การลงทุนสุขภาพด้วยตัวเอง ทำได้ไม่เสียสตางค์ 

การรับประทานอาหารเสริม วิตามินเสริมก็ต้องระวังเช่นกัน หากต้องการให้ร่างกายได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ การเดินรับแสงแดดเป็นประจำจะช่วยให้ชีวิตยืนยาว 
 

ทั้งนี้กลไกของการควบคุมการตื่นและหลับในร่างกาย เหมือนเป็นการเปิดปิดสวิตช์ โดยกลุ่มเซลล์สมองที่กระตุ้นให้ตื่นหรือเปิดสวิตช์ คนปกติจะงีบหลับกลางวันโดยเฉลี่ย 11 นาที คนที่นอนยาก ตื่นบ่อย ปลุกยาก จะเกี่ยวพันกับ "โรคสมองเสื่อม" พบว่า เมื่อถึงระดับสมองเสื่อมแล้ว ร่างกายจะงีบหลับกลางวันนานถึง 69 นาทีต่อวัน 

หากงีบหลับมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน หรือมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงพัฒนาเป็น โรคสมองเสื่อม มากถึง 40% สำหรับผู้ชายสูงอายุที่งีบหลับกลางวัน 2 ชั่วโมง จะมีสติปัญญาเสื่อมถอยมากกว่าคนที่งีบน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน การดูแลสุขภาพนอนให้ดี ดื่มน้ำมาก ๆ เป็นประจำ หมั่นออกกำลังกาย จะเป็นการดูแลสุขภาพเบื้องต้นเพื่อป้องกัน ภาวะสมองเสื่อม ได้ดี 

อย่างไรก็ดี หากอายุเกิน 40 ปี ไม่ต้องกังวล เพราะสมองจะยกระบบสายไฟใหม่เป็นระบบอัจฉริยะ ให้พินิจพิเคราะห์ พิจารณาได้ช้าลง แต่เฉียบแหลมขึ้น เพียงเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังสม่ำเสมอ ก็จะช่วยป้องกันได้ เป็นการรักษาก่อนเกิด ร่างกายให้เวลาปรับตัว 10-15 ปี เพื่อให้อนาคตไม่ต้องรักษาโรค 

การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหักโหม เดินตากแดดให้ครบ 10,000 ก้าว ได้ยิ่งดี หรืออย่างน้อย ๆ ให้เพิ่มการเดินอีก 400 ก้าวทุกวัน การเดินเพิ่มวันละ 400 ก้าว จะลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ 

หากเดินได้ 4,300 ก้าว ความเสี่ยงหัวใจจะลดลง แต่ถ้าทรงตัวเริ่มไม่ดี เดินไม่ค่อยไหว ให้ซื้อจักรยานมาปั่นที่บ้าน เลือกการปั่นเร็วจะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน หากออกจากบ้านเป็นประจำได้ยิ่งดี ออกไปรำไทชิ รำไทเก็ก ไปหาเพื่อน พบปะสังสรรค์ ร้องคาราโอเกะ

เรื่องอาหารการกินในทุกวันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนเป็นประจำอย่างเหมาะสมจะดีต่อสุขภาพ โดยสังเกตตัวเองว่า ดื่มมากไปหรือไม่หากมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ

เมนูเครื่องดื่มสุขภาพ เช่น กาแฟดำใส่น้ำมันมะกอก หรือเลือกดื่มชาดำ ชาแดง ก็ดีต่อร่างกายสูงวัยเช่นกัน เลือกกินช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้สูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ก็ช่วยได้ ผักผลไม้ต้องกินให้ได้ทุกมื้อ เพราะมีกากใยสูง อย่างพริกหวานจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสันได้ เลือกรับประทานอาหารทะเลที่มีโอเมก้า-3 ปลาซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ หากรับประทานอาหารมังสวิรัติได้ยิ่งดี 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนพฤติกรรมที่มีผลต่อสมองต้อง ลด ละ เลิก ได้แก่ การรับประทานอาหารปิ้งย่าง โดยเฉพาะปิ้งย่างไหม้เกรียม ลดแป้ง น้ำตาล ไขมันในอาหาร ลดเนื้อแดงหรือกินไข่ไก่ในปริมาณที่เหมาะสม ห้ามสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ที่สำคัญ คือ หาทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ร่างกายแอคทีฟตลอดเวลา ไม่นอนงีบหลับบ่อย ๆ หรืองีบนาน ๆ 

การดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ต้องดูแลองค์รวมให้ดี โรคสมองเสื่อม จะใช้เวลาบ่มเพาะ 15-17 ปี ก่อนที่ร่างกายจะส่งสัญญาณแรกออกมา ผู้ป่วย โรคสมองเสื่อม จะเริ่มด้วยจำเรื่องที่ทำลงไปไม่ได้ เริ่มจำสิ่งที่พูดออกไปไม่ได้ การป้องกันตั้งแต่ก่อนเกิด ภาวะสมองเสื่อม ผู้สูงวัยบางราย ภายนอกที่เห็นดูดี แต่ภายในสมองและร่างกาย เริ่มก่อปัญหาของโรคแล้ว

ภายนอกอาจดูว่าเป็นแค่นิดเดียว แต่ร่างกายภายในนั้นรุนแรงแล้ว เพราะร่างกายของผู้สูงวัยจะเกิดปัญหาจากร่างกาย เช่น กระดูก ข้อ หู ตา ระบบประสาท การกะระยะ การทรงตัว การกลืน สำลัก ความอึดเวลาใช้แรงออกกำลังกายก็น้อยลง หน้ามืด ความดันตกได้ง่าย ด้านสภาพจิตใจและสมองก็เช่นกัน สมองจะเชื่องช้า การรับมือกับสถานการณ์ อารมณ์จะจิตตกได้ง่ายขึ้น