ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
โควิด 19 การใส่หน้ากากอนามัย
มีการตั้งคำถามว่า เราจะใส่หน้ากากอนามัยไปนานแค่ไหน ขอช่วยกันตัดสินใจเอง
ในยามปกติ หน้ากากอนามัยจะมีไว้สำหรับให้ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเป็นผู้ใส่ เพื่อป้องกันการกระจายของโรค
คนปกติไม่มีความจำเป็นต้องใส่ ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ ถ้ารู้ว่าป่วยควรจะใส่ และมีระเบียบวินัย
การใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรค covid-19
การใส่หน้ากากอนามัย ถ้าใส่ไม่ถูกวิธี หรือไม่ดูแลเรื่องสุขอนามัย ประสิทธิภาพในการป้องกันจะลดน้อยลงอย่างมากๆ
มีการศึกษามาสนับสนุนชัดเจน เช่นใส่ไม่ถูกวิธี การจัดต้องหน้ากากหลังใส่แล้วโดยไม่ได้ล้างมือ
มีการศึกษาว่าในแต่ละชั่วโมงจะมีการจัดหน้ากากเป็นจำนวนมากหลายครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมากเนื่องจากการ ปนเปื้อน
การศึกษาที่น่าสนใจ โรงพิมพ์ในวารสาร PNAS ศึกษาคนที่ใส่หน้ากากอนามัยและไม่ใส่หน้ากากอนามัยแข่งขันหมากรุก
จะพบว่าการใส่หน้ากากอนามัยจะมีผลต่อ ความนึกคิด (cognitive) ในช่วงแรกของการแข่งขัน
และถ้าใส่ไปนานๆก็จะมีการปรับตัว หน้ากากอนามัยอาจมีผล ต่อการ นึกคิดคำนวณระดับสูง แต่ในภาวะปกติคงไม่เห็นความแตกต่าง
ในเด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กอนุบาล การเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา จะมีทั้งภาษาพูด (verbal) และภาษาท่าทาง (non verbal)
เช่นการสังเกตจากริมฝีปาก ดังนั้นในเด็กเล็ก การใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้องก็ทำได้ยากอยู่แล้ว และยังมีผลต่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก
ดังนั้นจึงมีความเห็นว่าในชั้นเรียนของเด็กเล็ก การใส่หน้ากากอนามัยจะขัดขวางต่อการเรียนรู้
และการปฏิบัติตัวของเด็กในการดูแลหน้ากากอนามัยก็ทำได้ยากที่จะให้มีประสิทธิภาพ ความจำเป็นในการใส่หน้ากากอนามัยจึงน้อยลง
ในภาวะที่ความรุนแรงของโรคลดน้อยลง เด็กก็มีการเรียนรู้จากครูด้วย
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือการกำจัดขยะหน้ากากอนามัย เพราะการใช้หน้ากากอนามัยจำนวนมากที่เป็นหน้ากากอนามัยสังเคราะห์ จะทำให้เกิด micro plastic เพิ่มขึ้น ในสิ่งแวดล้อม
ในขณะนี้ ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง เช่นชายทะเล สวนสาธารณะ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากากอนามัย
หวังว่า หลังเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อแล้ว
โรคจะลดน้อยลง และมีการปรับตัวได้มากขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากากอนามัย ก็จะน้อยลง
จะใส่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนหมู่มาก เช่นในรถประจำทาง เครื่องบิน รถไฟฟ้า
และผู้ที่ต้องใส่ ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มของ ผู้ป่วยหรือมีอาการทางโรคทางเดินหายใจ