‘หมอบุญ’ ทุ่ม 1.6 หมื่นล้าน รุกธุรกิจเฮลท์แคร์ ไทย-ต่างประเทศ

09 ธ.ค. 2565 | 19:20 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ธ.ค. 2565 | 02:28 น.
1.6 k

“หมอบุญ” เปิดแผนลงทุนปี 66 ทุ่มงบกว่า 1.6 หมื่นล้าน สยายปีกลงทุนรับอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์โตแรง ทั้งศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า, เวลเนส เซ็นเตอร์ย่านพระราม 3, รพ.ในสปป.ลาวและเวียดนาม

นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด (TMG) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปี 2566 บริษัทเตรียมแผนลงทุนต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยการ ศูนย์มะเร็งที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ ติดถนนใหญ่ ย่านปิ่นเกล้า ใช้งบลงทุนราว 4,000 ล้านบาท

 

ซึ่งเป็นความร่วมมือกับกลุ่มบริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC ซึ่งที่นี่จะมีศูนย์ดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร โดยศูนย์มะเร็งแห่งนี้จะให้บริการรักษามะเร็งแบบองค์รวม ตั้งแต่ขั้นค้นหา ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง (Cancer Screening) เช่น การตรวจพันธุกรรม การใช้ X-Ray MRI CT Scan ความเร็วสูง การวินิจฉัยโรค และการจัดระยะของโรคมะเร็ง (Staging) จาก Tumor Board

‘หมอบุญ’ ทุ่ม 1.6 หมื่นล้าน รุกธุรกิจเฮลท์แคร์ ไทย-ต่างประเทศ               

ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนการรักษา ด้านเคมีบำบัด ด้านค้นหาพันธุกรรมเพื่อพิจารณาใช้ยา (Targeted Gene Therapy (HyperPersonalize Medicine) การฉายแสงด้วยเครื่องเร่งอนุภาพ Linac หรือ Proton Beam รวมถึงการผ่าตัดด้วยศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละโรค รักษามะเร็งด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplantation)

 

โดยการปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดจะทำร่วมกับการฉายแสงเพื่อหยุดการทำงานของไขกระดูก และเป็นการใช้เซลล์สร้างเม็ดเลือดปลูกถ่ายเข้าไปในไขกระดูก เพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือด และโรคเลือดต่างๆ ตลอดจนการดูแลผู้ป่วยที่ครบวงจรทั้งด้านสุขภาพ (wellness) อาหารและยา ซึ่งเป็นการเพิ่มความสามารถในการรักษามะเร็งโดยการใช้อาหารและวิตามิน

 

นอกจากนี้ จะร่วมกันศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการร่วมทุนสร้างศูนย์ให้บริการการรักษาด้านอื่นๆ อาทิ ศูนย์รักษาจอประสาทตา ซึ่งรวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อแก้ปัญหาด้านจอประสาทตาที่ผันตามแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ รวมถึงโรคเรื้อรังต่างๆ ที่นำไปสู่การลดทอนความสามารถในการมองเห็นของจอประสาทตา โดยจะเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2-3 ปีข้างหน้า

โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง               

อีกโครงการเป็นโครงการศูนย์ดูแลสุขภาพ หรือเวลเนส เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่เศษ ย่านพระราม 3 ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยก่อสร้างเป็นอาคารสูง 52 ชั้น รองรับกลุ่มผู้สูงอายุจำนวน 400 ห้อง พร้อมศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรบริหารจัดการโดยบมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) ใช้งบลงทุนทั้งหมดราว 4,000-5,000 ล้านบาท

              

นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนตั้งโรงพยาบาลในสปป.ลาวอีก 3 แห่ง แบ่งเป็นโรงพยาบาลในเวียงจันทร์ 2 แห่ง ขนาด 150 เตียงและ 200 เตียง พร้อมศูนย์มะเร็ง และในจำปาสัก 1 แห่ง ใช้งบลงทุนรวม 2,000 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ร่วมทุนกับดาวเรือง กรุ๊ป จัดทำ Lao Duty Free 4-5 แห่งในสปป.ลาวด้วย

              

นพ.บุญกล่าวอีกว่า นอกจากสปป.ลาวแล้ว บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าร่วมทุนกับโรงพยาบาลในประเทศเวียดนาม จากก่อนหน้านี้ที่รับบริหารจัดการให้ ทำให้มองเห็นโอกาสและศักยภาพในการเติบโต รองรับกับเศรษฐกิจของเวียดนามที่เติบโตต่อเนื่องและรวดเร็ว ทำให้บริษัทสนใจเข้าร่วมทุนซึ่งหลังจากที่เจรจามานาน 2 ปี คาดว่าจะสรุปได้ในปีหน้า ทำให้บริษัทต้องเตรียมใช้เงินลงทุนอีก 4,000-5,000 ล้านบาท

              

“การลงทุนในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของ TMG เมื่อลงทุนเสร็จจะให้ THG เข้ามาช่วยบริหารเพราะมีความชำนาญ มีแพทย์และพยาบาลที่เชี่ยวชาญมากกว่า อีกทั้งยังคล่องตัวกว่า ขณะเดียวกันก็จะมีการลงทุนต่อเนื่องในโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง ซึ่งล่าสุดได้ลงทุนจัดตั้ง “TH Health” ทำหน้าที่โลจิสติกส์ ดูแลด้านการจัดซื้อยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมกระจายจัดส่งให้กับบริษัทในรูปแบบ B2B รวมถึงผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาด้วย”

นพ.บุญ วนาสิน

อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ถือเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง เพราะปีหน้าที่แนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย การจะดำเนินธุรกิจแบบปกติคงไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อให้ได้ไปต่อ โดยสิ่งสำคัญที่จะเข้ามาคือเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งวันนี้เราลงทุนไปมาก แต่ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องของ บุคคลากร

 

โดยเฉพาะด้านไอที ที่ขาดแคลนมาก ซึ่งวันนี้บริษัทใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ในการสร้าง medical intelligence เพื่อทำหน้าที่บริหารด้านไอทีให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อลดต้นทุนและปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นโดยให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งคือ 1. คุณภาพ 2. ราคา และ 3.บริการ

              

ทั้งนี้บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2567 หลังจากที่มีผลประกอบการที่ดีและมีกำไรกว่า 700 ล้านบาทในปี 2566 และเพิ่มเป็นกว่า 1,000 ล้านบาทในปีถัดไป

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,842 วันที่ 8 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565