เปิดโลกสังคมสูงวัย กับความท้าทายและโอกาสด้านธุรกิจสุขภาพในประเทศไทย

25 ก.พ. 2568 | 15:40 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2568 | 15:55 น.

DKSH ระบุ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากร ชี้เป็นความท้าทายและโอกาสของนวัตกรรมด้านสุขภาพ โดยเฉพาะความต้องการด้านการดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เพิ่มขึ้น

นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งใหญ่ คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2574 จะกลายเป็น "สังคมสูงวัยระดับสุดยอด" (Super-Aging Society) หรือ สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนวัตกรรมด้านสุขภาพและการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขของประเทศ

โดยการเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ประกอบกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Noncommunicable diseases - NCDs) ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการด้านการดูแลสุขภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นสาเหตุของของจำนวนการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศไทยถึง 74% หรือประมาณ 4 แสนรายต่อปี 

นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานจะเพิ่มจาก 4.8 ล้านคนในปี พ.ศ. 2566 เป็น 5.3 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2583 ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ด้วยงบประมาณที่ใช้ในการดูแลถึง 1.6 ล้านล้านบาทในแต่ละปี หรือเทียบเท่ากับ 9.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product)

เพื่อบริหารจัดการระบบสาธารณสุข สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืน และนวัตกรรมที่สามารถรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัย

ขณะเดียวกัน งบประมาณด้านการดูแลสุขภาพของประเทศไทยยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าค่าใช้จ่ายสาธารณะด้านสุขภาพของประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นที่อัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 7.1% จนถึงปี พ.ศ. 2571 จะส่งผลให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันทางการเงิน และเมื่อประชากรในวัยทำงานลดลง ย่อมส่งผลต่อภาวะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทำให้ไม่สามารถรองรับความต้องการของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น

เปิดโลกสังคมสูงวัย กับความท้าทายและโอกาสด้านธุรกิจสุขภาพในประเทศไทย

สถานการณ์ดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการฝึกฝนที่ดียิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับความต้องการโดยเฉพาะของสังคมผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี สามารถลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญนอกจากนี้ การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนใส่ใจในเรื่องการรับประทานอาหารที่สมดุล การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพจิตก็มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลคุณภาพชีวิตของตนเอง และลดภาระในระยะยาวต่อทรัพยากรด้านสาธารณสุข

นายแพทริค กล่าวว่า การรับมือกับความท้าทายจากสังคมผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งจากนโยบายของรัฐ ผู้ให้บริการสุขภาพและภาคเอกชน DKSH ได้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ดูแลสุขภาพ โครงการเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพของไทยให้มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนในระยะยาว

ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลทางการแพทย์ก็กำลังมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพที่บ้าน (Home Healthcare)เป็นแนวทางสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งนี้ DKSH ได้พัฒนาบริการ “Home Pulse”ให้บริการร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดีและโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ บริการดังกล่าวสามารถส่งตรงถึงบ้านของผู้ป่วยได้ตามความต้องการ ช่วยลดการเดินทางไปโรงพยาบาล และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ 

รวมถึงเทคโนโลยีเสริม เช่น อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) เป็นการใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวินิจฉัยโรคต่างๆ ส่วนแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ ยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถติดตามสถานะทางสุขภาพได้ด้วยตนเองพร้อมส่งข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์แก่บุคลากรทางการแพทย์

เปิดโลกสังคมสูงวัย กับความท้าทายและโอกาสด้านธุรกิจสุขภาพในประเทศไทย

ตลอดจรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการดูแลระยะยาว ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรองรับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุ  ตัวอย่าง เช่น DKSH ได้ร่วมมือกับ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล ในการเป็นต้นแบบทดสอบระบบชำระเงินรูปแบบดิจิทัล ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวและยกระดับประสบการณ์ของผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น

โครงการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน คือ อีกหนึ่งกุญแจสำคัญสำหรับสร้างการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ที่ผ่านมา DKSH ได้จัดโครงการ "Patient Purpose Day" ขึ้นเพื่อให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพ สำหรับในประเทศไทยได้ให้บริการรักษาแก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคตาในถิ่นทุรกันดาร อาทิ โรคต้อกระจก ต้อหิน และโรคตาอื่น ๆ ผ่านโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่สภากาชาดไทย ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรของประเทศไทย ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับแนวทางกลยุทธ์หลัก ดังนี้ 

  • การขยายโซลูชันสุขภาพดิจิทัล: นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ระยะไกล (Telemedicine) และการวินิจฉัยด้วย AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงการให้บริการ แม้ในพื้นที่ชนบท
  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว: เสริมสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและห่วงโซ่อุปทานด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-private partnerships) จะมีบทบาทสำคัญในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการดูแลระยะยาวและปรับปรุงการบริการสำหรับประชากรผู้สูงอายุ
  • แคมเปญการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน: สนับสนุนแคมเปญสุขภาพระดับชาติเพื่อสร้างความตระหนักรู้ จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดภาระจากการดูแลโรคเรื้อรังและลดต้นทุนการดูแลสุขภาพโดยรวม

นายแพทริค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้สูงอายุของประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้น มีทั้งความท้าทายและโอกาสในการปรับเปลี่ยนการให้บริการด้านสุขภาพ การส่งเสริมนวัตกรรมและการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาคส่วนต่างๆ จะช่วยผลักดันให้เกิดแนวทางแก้ไขที่ตอบโจทย์สำหรับสังคมผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

แม้ว่าระบบการดูแลสาธารณสุขจะปรับเปลี่ยนไป แต่พันธกิจยังคงเดิมนั่นคือการส่งเสริมให้ประชากรทุกคนได้รับการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมและเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม