จากรายงานของ Global Wellness Institute (GWI) หรือ สถาบันเพื่อสุขภาพแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการตอบรับ เทรนด์ด้านธุรกิจสุขภาพอย่างรวดเร็ว โดยตลาดสุขภาพโลกเติบโตจาก 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 เป็น 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2571
โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก และมีปัจจัยหลักในการดึงดูดชาวต่างชาติคุณภาพสูง ทั้งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เอกลักษณ์ ด้านวัฒนธรรม รวมทั้งการบริการที่มีคุณภาพ ความก้าวหน้าด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์แผนไทย ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการเป็น Medical and Wellness Tourism Hub
ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตได้ตามศักยภาพในปีนี้ที่ 2.7% เพราะปัจจุบันโครงสร้างเศรษฐกิจยังต้องพึ่งพาเงินจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เป็นฟันเฟืองหลักมาหลายปี แม้จะมีวิกฤติโควิด-19 ทำให้รายได้ในส่วนนี้หายไป แต่ปัจจุบันก็จะเห็นได้ว่ากลับมาเติบโตฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และไม่ผันผวนเหมือนเครื่องยนต์เศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เป็นรายได้จากต่างประเทศ
หากมองตลาดเฉพาะกลุ่ม และเจาะลึกลงมาในกลุ่ม Medical and Wellness Tourism คือ เซกเม้นท์ ที่กำลังเติบโตอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา จึงอยากให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับ Sustainability and Wellbeing ส่งเสริมให้เป็นอีกหนึ่งกำลังหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อจากนี้ เพราะตอนนี้สิ่งที่ทุกองค์กรและทุกวงการกำลังให้ความสนใจคือความยั่งยืน และความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) ซึ่งในธุรกิจเฮลท์แคร์ของปะเทศไทยก็ต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก เพื่อพัฒนาคนให้ชีวิตยืนยาวแบบมีสุขภาพแข็งแรง
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลก มักจะเดินทางเข้ามารักษาพยาบาล เนื่องจากมีสถานพยาบาลที่มีคุณภาพ มีบุคลากรทางการแพทย์ที่เก่งติดอันกับท็อปของโลก และมีราคาที่จับต้องได้ เรื่องแบบนี้เราต้องไปต่อให้ได้ เป็น Advance Medical Hub ของเอเชีย”
ดร.อาทิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งก้าวเข้าสู่ปีที่ 45 และเปิดบริษัทในเครืออย่าง VitalLife Scientific Wellness Center ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ได้มองเรื่องของ integration หรือ Holistic Care การพยาบาลแบบองค์รวม ให้บริการโปรแกรมชะลอวัย โปรแกรมเสริมความงาม โปรแกรมควบคุมน้ำหนัก เพื่อส่งเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัย นับว่าเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 24 แล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า Medical and Wellness Tourism กำลังเติบโตขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้คนทั่วโลกต่อสู้กับการเจ็บป่วยและโรคระบาดได้
นอกจากนี้ยังมี ศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืนที่เรียกว่า “Longevity Medicine” เป็นศาสตร์ที่ทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้นแบบมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดช่วงเวลาที่มีชีวิต เปลี่ยนช่วงวงจรของชีวิตมนุษย์ให้มีแค่การเกิด แก และตาย โดยไม่เจ็บป่วย และอายุไขของคนไทยในปัจจุบันเฉลี่ย 80 ปี ถือว่ามีพัฒนาการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แม้เจ็บป่วยยังสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ โอกาสที่จะพบคนอายุถึง 120 ปีจึงถือว่ามีในอนาคต
ขณะที่ นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทมาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหาร “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ” กล่าวว่า ประเทศไทยจะต้องมีจุดยืนของตัวเอง เพราะสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ยิ่งการเลือกตั้งสหรัฐได้ผู้นำคนใหม่ก็เกิดการกีดกันการค้า ค่อนข้างมีผลกระทบต่อทั้งตลาดทุนและตลาดในประเทศไทย ฉะนั้นจึงอยากส่งเสริมในเรื่องของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เฮลท์แคร์ และสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศไทย
หากประเทศไทยสามารถสร้างรายได้และส่งเสริมจุดแข็งของตัวเองได้จะสามารถดึงเม็กเงินเข้าสู่ประเทศได้ แม้ว่าสถานการณ์จากปัจจัยภายนอกประเทศจะเป็นอย่างไร แต่ภายในประเทศไม่ควรได้รับผลกระทบมากจนเกินไป หากทำได้จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้านอกจากนี้ และทั้งภาครัฐและเอกชนต้องจับมือกัน สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้าน นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า BDMS ก็ได้ลงทุนด้าน Wellness ค่อนข้างสูง โดยเครือ BDMS มีคนไข้ประมาณ 10 ล้านคน แบ่งเป็นต่างชาติ 2-3 ล้านคน และในกลุ่มการรักษาโรคแบ่งเป็น Preventive Medicine หรือเวชศาสตร์การป้องกันประมาณ 11% ในวันนี้อาจดูน้อยลง แต่เชื่อว่าตัวเลขจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเติบโตอย่างรวดเร็วอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนช่วงเกิดโควิด-19
ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่ม Wellness Tourism ที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนช่วงโควิด-19 มีประมาณ 15 ล้านคน ก่อนจะดรอปลงในช่วงโควิด-19 คาดว่าล่าสุดในปี 2567-2568 น่าจะมีมากกว่า 15 ล้านคน ขณะที่สถาบันโกลบอลเวลเนส (Global Wellness Institute; GWI) ระบุข้อมูลไว้ว่า ผู้คนทั่วโลกมักใช้จ่ายเกี่ยวกับ Wellness Tourism เฉลี่ย 6-7 หมื่นบาท/คน/ทริป ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการท่องเที่ยวทั่วไป
อย่างไรก็ตาม หากมีความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน จะช่วยผลักดันประเทศไทยให้ติด 1 ใน 5 อันดับโลกได้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ขณะที่ปัจจุบันอันดับ 1.คือ สหรัฐอเมริกา 2.เยอรมนี 3.จีน 4.ฝรั่งเศส 5.ญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับ 15 ของโลก
นพ.วิทยา วันเพ็ญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ผู้ใช้บริการหรือลูกค้าในกลุ่ม Wellness Tourism ที่เป็นคนไทย อาจจะเริ่มสังเกตเห็นการใช้จ่ายที่ลดน้อยลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เพราะกำลังซื้อจะสอดคล้องไปตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มศัลยกรรมความงาม หรือกลุ่มที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เคยนอนโรงพยาบาลก็เริ่มตระหนักถึงค่าใช้จ่ายมากขึ้นในปี 2568 หลายคนมีข้อจำกัดในการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และเริ่มมีผู้ใช้บริการสนใจกลับไปนอนพักรักษาตัวเองที่บ้านมากขึ้น
“จากการพูดคุยผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนหลายคน ยกตัวอย่างผู้ประกอบการธุรกิจ ที่เคยเข้ารับการรักษาหรือนอนโรงพยาบาล หลายรายประสบปัญหากับยอดขายในธุรกิจ รายได้ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ จึงต้องพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น”
นพ.วิทยา กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลพระรามเก้า เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีราคาให้ผู้เข้ารับบริการเข้าถึงได้หลายระดับและลูกค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่ม Luxury อาจลดลงเล็กน้อย ปัจจุบันจะโดดเด่นในเรื่องการรักษาโรคซับซ้อนเป็นหลักและสร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลมากกว่า 50% ถัดมาคือเรื่องการศัลยกรรมตกแต่งและเวลเนส