นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายงาน Global Wellness Institute (GWI) เผยข้อมูลล่าสุดของอุตสาหกรรมเวลเนสในปี 2023 เกี่ยวกับสุขภาพว่ามีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2028 จะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% สูงกว่า GDP โลกซึ่งอยู่ที่ 4.8% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการตอบรับ เทรนด์ด้านธุรกิจสุขภาพอย่างรวดเร็ว
โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก และมีปัจจัยหลักในการดึงดูดชาวต่างชาติคุณภาพสูงให้เข้ามาพำนักระยะยาว ทั้งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เอกลักษณ์ ด้านวัฒนธรรม รวมทั้งการบริการที่มีคุณภาพ ตลอดจนแพทย์แผนไทย ความก้าวหน้าด้านการแพทย์ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
สำหรับ BDMS ได้ลงทุนด้าน Wellness ค่อนข้างสูงทั้งการตรวจเลือดพันธุกรรม การวิจัย รองรับการตรวจทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยเครือ BDMS มีคนไข้ประมาณ 10 ล้านคน แบ่งเป็นต่างชาติ 2-3 ล้านคน และในกลุ่มการรักษาโรคแบ่งเป็น Preventive Medicine หรือเวชศาสตร์การป้องกันประมาณ 11% ซึ่งในวันนี้อาจดูน้อยลง แต่เชื่อว่าตัวเลขจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ก่อนช่วงเกิดโควิด-19
ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่ม Wellness Tourism ที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนช่วงโควิด-19 มีประมาณ 15 ล้านคน ก่อนจะดรอปลงในช่วงโควิด-19 คาดว่าล่าสุดในปี 2567-2568 น่าจะมีมากกว่า 15 ล้านคน ขณะที่สถาบันโกลบอลเวลเนส (Global Wellness Institute; GWI) ระบุข้อมูลไว้ว่า ผู้คนทั่วโลกทักใช้จ่ายเกี่ยวกับ Wellness Tourism เฉลี่ย 6-7 หมื่นบาท/คน/ทริป ถือว่าสูงเมิ่อเทียบกับการท่องเที่ยวทั่วไป
นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่า BDMS รวมทั้งหมดในเครือมีตัวเลขสัดส่วนของ BDMS Wellness Clinic ประมาณ 10% อันดับ 1. คือกลุ่มประเทศอาหรับ (Gulf Cooperation Council หรือ GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ บาห์เรน และที่เติบโตสูงที่สุดคือ ซาอุดีอาระเบีย ถัดมาคืออันดับ 2. จีน และ 3. กลุ่มประเทศ CLMV ส่วนใหญ่นิยมตรวจที่เรียกว่า Wellness Blueprint หรือพิมพ์เขียวสุขภาพ ซึ่งตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกระบบ ลึกไปถึงระดับเซลล์
นอกจากนี้ BDMS ยังมุ่งไปยังการสร้าง Wellness Real Estate คือการสร้างอสังหาริมทรัพย์โดยใช้เรื่องสุขภาพมาจับ คล้ายบ้านพักที่ให้คนมาใช้ชีวิตมากกว่าการไปโรงพยาบาล จุดแรกในปัจจุบันคือ BDMS Wellness Clinic และล่าสุดจะมีโปรเจคท์ใหญ่ โครงการ PROJECT HERCULES เฮอคิวลิส (BDMS WELLNESS LANGSUAN ) อยู่ถนนหลังสวนบนพื้นที่ 15 ไร่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นมิกซ์ยูส Wellness Real Estate เต็มรูปแบบและครบวงจร คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2030 ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ศูนย์ wellness ขนาดใหญ่ในเครือ BDMS ที่ภูเก็ตและเชียงใหม่ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเข้าสู่ Wellness Real Estate ในอนาคต
สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ของโลกอันดับ 1.สหรัฐอเมริกา 2.เยอรมนี 3.จีน 4.ฝรั่งเศส 5.ญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 15 ซึ่งก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ในอันดับที่ 7 คาดว่าในอนาคตหากมีความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนจะช่วยผลักดันประเทศไทยให้ติด 1 ใน 5 อันดับโลกได้
ทั้งนี้ BDMS Wellness Clinic ยังมีความร่วมมือ กับ Thailand Privilege Card ที่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านศักยภาพการแพทย์ไทยสู่กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงและมีคุณภาพ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการพำนักระยะยาว ทั้งกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ (Aged Society) ประกอบกับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่ได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดท่ามกลางคนรุ่นใหม่
ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลก หันมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพแบบ Preventive Medicine หรือการป้องกันก่อนเกิดโรคมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ Non-Communicable Diseases (NCDs) เช่น โรคความดัน โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก/ตัน โรคอ้วน โรคเครียด และโรคมะเร็ง และบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ในฐานะศูนย์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เล็งเห็นโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันประเทศไทย สู่การเป็น Wellness Destination of the World ผ่านการให้บริการการดูแลสุขภาพด้วยหลัก Scientific Wellness และเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการด้านการดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่ในมิติที่หลากหลาย
“ความร่วมมือกับ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่จุดหมายปลายทางทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ผู้ถือบัตร ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จะสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ด้านการดูแลสุขภาพในหลากหลายมิติ เช่น การตรวจสุขภาพระดับเซลล์ การตรวจความยาวเทโลเมียร์เพื่อประเมินอายุเซลล์ การตรวจ Epigenetics เพื่อหาความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ในอนาคต การตรวจสมดุลฮอร์โมน วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงการออกแบบการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) และการปรุงวิตามินเฉพาะบุคคล (Personalized Supplements)”
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า“การร่วมมือกับ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ครั้งนี้ เป็นการจับมือพันธมิตรด้าน Health & Wellness เพื่อนำเสนอบริการแก่สมาชิกชาวต่างชาติกว่า 37,000 คน เรามีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอศักยภาพของการแพทย์และบริการด้านสุขภาพไทยผ่านการให้บริการสิทธิประโยชน์ของบริษัทฯ ซึ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับการให้บริการ ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย
โดยไทยแลนด์ พริวิเลจ เชื่อมั่นในศักยภาพด้านการแพทย์ระดับสากลของ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก แก่ชาวต่างชาติคุณภาพสูงที่ต้องการพำนักในไทย และกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมการพัฒนาแพ็กเกจบริการพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชาวต่างชาติระดับสูง
ความร่วมมือนี้ จึงเป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กรเพื่อมอบประสบการณ์ด้านสุขภาพและการพำนักระยะยาวในประเทศไทยพร้อมสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ในมิติที่หลากหลาย โดยเฉพาะบริการทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากล และสิทธิประโยชน์พิเศษที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกโดยเฉพาะ พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของโลกสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Destination of the World อย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง