น.ส.พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 56 ปี มูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้ดำเนินงานในฐานะองค์กรการกุศล มุ่งเน้นการระดมทุนเพื่อสนับสนุนคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในทุกมิติ
ทั้งการพัฒนาการรักษาพยาบาล การผลิตบุคลากรทางการแพทย์ การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาโรคซับซ้อน และการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อยกระดับระบบสาธารณสุขไทย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
"มูลนิธิรามาธิบดีฯอยากให้เกิดสังคมแห่งการให้...ที่ไม่สิ้นสุด ตั้งใจสร้างสะพานแห่งการให้ที่แข็งแรงและมีคุณค่าต่อทั้งผู้ให้และผู้รับ ผ่านแนวทางการดำเนินงานที่ปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ทั้งมองหาโอกาสและช่องว่างในการสื่อสารเพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและเส้นทางที่กลุ่มเป้าหมาย โดยสำรวจเทรนด์หรือกระแสสังคมที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่การพัฒนาแคมเปญที่เข้าถึงกลุ่มคนทุกเจเนอเรชั่น พร้อมพัฒนาระบบการบริจาคที่สะดวกและเข้าถึงง่าย"
นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารถึง ‘ผลลัพธ์จากการให้’ ที่จับต้องได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริจาคและสะท้อนความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเฉพาะการจัดสรรทุนทรัพย์จากการบริจาคของประชาชนเพื่อสร้างสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการรักษาผ่านโครงการผู้ป่วยยากไร้
การสร้างบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้าสู่ระบบสาธารณสุขไทย การให้ทุนการศึกษานักศึกษาทุกหลักสูตร การสนับสนุนสถาบันราชสุดาที่เพิ่งควบรวมอยู่ในการบริหารจัดการของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพและคุณภาพของการให้บริการทางการแพทย์ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการศึกษาวิจัยทางการแพทย์
น.ส.พรรณสิรี กล่าวว่า ในปี 2568 มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยังคงสานต่อบทบาทสำคัญในฐานะ ‘สะพานแห่งการให้’ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและผลักดันระบบสาธารณสุขของไทยให้ก้าวหน้า ด้วยเป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล โดยโครงการที่มูลนิธิฯ ให้ความสำคัญประจำปี 2568 ได้แก่
โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี เป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลผ่านเทคโนโลยีและทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ พร้อมส่งเสริมการบูรณาการทางการแพทย์สำหรับการวิจัยโรคซับซ้อน สู่การเป็นต้นแบบการรักษาในอนาคต เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการดูแลสุขภาพประชาชน โครงการนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 7 ปี และต้องระดมทุนประมาณ 9,000 ล้านบาท และจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประชาชนในปี 2573
มูลนิธิรามาธิบดีฯ สนับสนุนพันธกิจในด้านการผลิตบุคลากรการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ผ่านการสนับสนุนงบประมาณด้านอุปกรณ์การแพทย์ การบริหารจัดการ ซ่อมแซมและบำรุงระบบและอาคารสถานที่ของทั้งที่โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โดยอาคารกายวิภาคทางคลินิก (Clinical Anatomy Building) ตั้งอยู่ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์จะเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน
ด้วยอาคารห้องเรียนที่ประกอบด้วย เครื่องมือการเรียนการสอนที่ทันสมัยและมีราคาสูง ทำให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนเรื่องกายวิภาคผ่านเทคโนโลยี 3 มิติที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้และทบทวนควบคู่ไปกับการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ ส่งบุคลากรทางการแพทย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถและความเชี่ยวชาญเข้าสู่ระบบสาธารณสุขไทย
อีกหนึ่งโครงการที่มีความสำคัญ คือ โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา ศูนย์การแพทย์ที่ก่อตั้งบนพื้นที่ย่านพญาไท โดยมีที่มาจากมูลนิธิรามาธิบดีฯ ที่เล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างเงินทุนหมุนเวียนกลับมาสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมอย่างยั่งยืน โดยเน้นการให้บริการทางการแพทย์ที่ดูแลร่างกายและจิตใจในเชิงป้องกันเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพในทุกช่วงวัย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2568
ด้านโครงการผู้ป่วยยากไร้ เป็นโครงการที่ผู้บริจาคให้การช่วยเหลือมากที่สุดอย่างต่อเนื่องทุกปี ในขณะที่มูลนิธิฯ ก็เร่งระดมทุนเพื่อโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลแห่งใหม่โรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธีควบคู่ไปด้วย เนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องการเงินสนับสนุนเป็นจำนวนมาก และด้วยประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากอาคารแห่งนี้ก็จะดูแลผู้ป่วยได้อีกจำนวนมากในอนาคต
"มูลนิธิรามาธิบดีฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเน้นการสร้างระบบที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคดิจิทัล ส่งเสริมแนวทางการปฏิบัติงานที่ยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ พร้อมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยในปีนี้มูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างช่องทางในการเป็นผู้ให้ได้ง่ายยิ่งขึ้น"
น.ส.พรรณสิรี กล่าวว่า การบริจาคเงินก็จะต้องผสมผสานการทำบุญ ควบคู่ไปกับไลฟ์สไตล์ที่เป็นสะพานเชื่อม เช่น กิจกรรมสายเอ็นเตอร์เทนเมนต์ การชมละครเวที คอนเสิร์ต หรือการแสดงต่างๆ ได้ โดยศิลปินจิตอาสา ผู้บริหารค่ายต่างๆ ที่ต่างมีจิตศรัทธาอาสาเข้ามาร่วมสร้างสรรค์กิจกรรม
ส่วนมิติของการร่วมมือ Collaborationคือการสร้างสรรค์ของที่ระลึกให้ขยายวงกว้างกว่าเดิมมาก จากกลุ่มไทยดีไซเนอร์ ไปยังกลุ่มนักออกแบบหน้าใหม่ ให้การสนับสนุนวงการงานอาร์ตของไทย รวมถึงการติดต่อลิขสิทธิ์ต่างประเทศที่มีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่หลากหลายช่วงอายุ เช่น Hello Kitty, Sesame Street, Peanuts, Peter Rabbit โดยในปี 2567 มูลนิธิฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการทำ Collaboration กับ CryBaby ศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงในตลาดสากล และในปีนี้จะมีคอลเล็กชั่นใหม่ๆ อาทิ Little Princess
นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ ยังจัดกิจกรรมและมอบเงินให้กับมูลนิธิอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานวิ่ง งานครบรอบองค์กร งานคอนเสิร์ตต่างๆ ที่สำคัญ มูลนิธิฯ มุ่งพัฒนาช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลาย และมีความต้องการเฉพาะในแต่ละสื่อ ยกตัวอย่าง TikTok ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางสนับสนุนของที่ระลึก และการมอบความสุขที่เกิดจากการให้ เนื้อหาที่จัดทำก็จะเข้ากับยุคสมัยทำให้คนที่อาจจะยังไม่ถึงวัยมาโรงพยาบาลก็สามารถรู้จักมูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ยังให้การสนับสนุนโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิการได้รับการศึกษาและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการให้บริการฟื้นฟสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของคนพิการ ซึ่งการมอบการศึกษาช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน