นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันกรุงเทพมหานคร มีปริมาณขยะเฉลี่ย 9,500 ตันต่อวัน มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเก็บขนและกำจัดขยะกว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่จัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะได้เพียงปีละ 500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7% ของต้นทุนค่าใช้จ่าย
ดังนั้น กรุงเทพมหานครจึงได้ตราข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยฉบับใหม่ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แหล่งกำเนิดขยะทุกกลุ่มมีการลด และคัดแยกขยะที่แหล่งกำเนิด ให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน
ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครใช้มาตรการขอความร่วมมือเพียงอย่างเดียว ซึ่งข้อบัญญัติค่าธรรมเนียมฉบับใหม่ได้นำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และมาตรการทางกฎหมาย มาช่วยผลักดันให้แหล่งกำเนิดมูลฝอยขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย หมู่บ้านจัดสรร อาคารชุดพักอาศัย ชุมชน มีส่วนร่วมในการแยกขยะมากยิ่งขึ้น
โดยการปรับอัตราค่าธรรมเนียมขยะในครั้งนี้ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ประชาชนและทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดแยกขยะ เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดปริมาณขยะ และการนำขยะที่คัดแยกแล้วมาเป็นทรัพยากรเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสภากรุงเทพมหานคร ได้มีมติเห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 และข้อบัญญัติฯ นี้ จะมีผลบังคับใช้ภายหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2568
ล่าสุด กทม.จัดประชุมเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมอัตราใหม่ โดยมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักสิ่งแวดล้อม สำนักงานเขต 50 เขต เข้าร่วม
ทั้งนี้ สภากรุงเทพมหานคร กำหนดค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยใหม่ โดยแบ่งการจัดเก็บเป็น 2 แบบ คือ 1.มีการคัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือน 2.ไม่มีการคัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 60 บาทต่อเดือน