เปิดเวทีติวเข้มข้าราชการกทม.ปูพื้นงบประมาณฐานศูนย์เริ่มใช้ปีงบ 68

13 ก.ย. 2565 | 18:06 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ก.ย. 2565 | 01:06 น.

เปิดเวทีติวเข้มข้าราชการกทม.ปูพื้นงบประมาณฐานศูนย์เริ่มใช้ปีงบ 68 ดร.ยุ้ย เดินหน้านำร่องคุยตัวแทนเจ้าหน้าที่เขต 50 เขต และสำนักงานต่างๆ

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ประธานที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และงบประมาณ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครจัดการอบรมเรื่องการจัดทำแผนและงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-based Budgeting) เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจร่วมกับราชการ และตัวแทนเจ้าหน้าที่เขต 50 เขต 

 

และสำนักต่างๆ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในการปรับเป้าหมายและทิศทางของแผนงบประมาณในการพัฒนากรุงเทพมหานคร ให้สอดรับกับนโยบายของผู้ว่ากทม. ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนพัฒนาเส้นเลือดฝอย ให้กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ซึ่งจะเป็นฐานไปสู่มหานครแห่งเอเชีย คาดว่าจะจัดทำได้ในปีงบประมาณ 2568 

 

ทั้งนี้ แนวทางการทำงานของ กทม.มียุทธศาสตร์ 7 ข้อที่เป็นแกนหลัก แล้วแตกแกนหลักมาเป็นยุทธศาสตร์ย่อย ซึ่งครั้งนี้ได้มุ่งเน้นเรื่องการทำ OKRs-Objective and key results  หรือการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัด และ Zero-based budgeting หรือ งบประมาณฐานศูนย์ เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน 

ซึ่งจะเป็นฐานไปสู่มหานครแห่งเอเชีย ซึ่งจากการหารือโรดแมพของกทม.แผนปี 2566 จะเป็นการล้อยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ด้าน และมีบางโครงการได้ทำ OKRS ไว้แล้ว ส่วนแผนปี 2567 จะทำ Key results ใหม่ และปี 2568 งบประมาณจะต้องถูกเขียนใหม่ด้วยซีโร่เบสทั้งหมด 

 

สำหรับ OKRs จะเป็นตัวชี้วัดรูปแบบใหม่ที่ต่างจากดัชนีชี้วัดความสำเร็จหรือ KPI  (Key Performance Indicato) ที่วัดคนทำงานเพียงแค่กระบวนการที่ได้ทำ แต่ OKRs เป็นแนวคิดการบริหารที่เน้นการตั้งเป้าหมาย และติดตามผลให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งในด้านคุณค่าและสัมฤทธิ์ผลจริง แม้จะไม่ได้ตามเป้าหมายทั้งหมด

 

เปิดเวทีติวเข้มข้าราชการกทม.ปูพื้นงบประมาณฐานศูนย์เริ่มใช้ปีงบ 68

 

“กรณี กทม.มีเป้าหมายให้เด็กในกทม.ได้เรียนว่ายน้ำทุกปี สิ่งที่เป็นเป้าหมายหลัก คือเด็กต้องว่ายน้ำได้ และไม่เกิดอุบัติเหตุ แต่หากเป็น KPI กระบวนการ คือ จ้างครูมาสอนเด็กว่ายน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม OKRs จะทำให้สามารถประเมินได้ว่าความต้องการของประชาชนมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เพื่อปรับนโยบายให้สอดรับกับนโยบายและการจัดสรรงบประมาณ” 
 

ส่วนแผนการจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ ปัจจบันทีมกำลังร่างยุทธศาสตร์ ในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณที่จำกัด ใช้งบประมาณที่น้อยลงและคุ้มค่า แต่ได้ผลลัพธ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากการจัดทำงบประมาณแบบเดิม เพราะจะทำให้ไม่เกิดการคิดใหม่ทำใหม่ เนื่องจากคิดจากฐานงบฯ เดิมแล้วตั้งงบประมาณให้ครอบคลุมหรือมากกว่า 

 

แต่ด้วยสถานการณ์โลกเปลี่ยนการทำแบบเดิมไม่สอดคล้องกับการที่จะพัฒนาของเมืองที่จะให้ไปข้างหน้า ดังนั้น การทำงบประมาณฐานศูนย์ คือการที่เราคิดใหม่ทำใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดวิธีทำงานโดยการเซตความคิดเป็นซีโร่

 

โดยพิจารณาจากโครงการยุทธศาสตร์ต่างๆ ซึ่งบางโครงการอาจไม่สอดคล้องกับแผนการพัฒนาในขณะนี้ ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนวิธีคิด เช่น ค่าไฟฟ้าแทนที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี เราอาจจะคิดใหม่นำเทคโนโลยีมาใช้ อาจเกิดงบลงทุนสูงในปีแรก แต่ค่าไฟฟ้าจะลดลงอย่างแน่นอน เป็นต้น

 

“ด้วยประสบการณ์ที่ได้ทำงานทั้งในระบบราชการ และองค์กรเอกชน จึงเข้าใจการทำงานทั้งสองระบบเป็นอย่างดี สิ่งที่แตกต่างทั้งสอง คืองานราชการจะมีกรอบระเบียบกฎเกณฑ์มาก ขณะที่เอกชนมีเป้าหมายคือการทำกำไร ดังนั้น หากสิ่งใดไม่มีประโยชน์ต่อการทำกำไรก็สามารถตัดออกได้เลย ขณะที่โจทย์ของกทม.ไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่กทม.ต้องการก้าวไปสู่การเป็นเมืองน่าอยู่"

 

ดังนั้น ตรรกะง่ายๆ ก็คือ หากสิ่งที่ทำอยู่วันนี้ไม่ได้เอื้อหรือทำให้กทม.เป็นเมืองที่น่าอยู่ในมิติต่างๆ ก็แสดงว่าเรื่องนั้นไม่ควรจะทำเท่าไหร่ เนื่องจากเวลาคือสิ่งที่มีค่าที่สุด และการเดินหน้าที่จะนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกชน ราชการ หรือทม. ต่างก็ต้องมีกรอบที่เป็นหลักกว้างๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้