หมอธีระย้ำโควิดแนวโน้มขาขึ้น แนะสธ.รายงานยอดติดเชื้อสะท้อนสถานการณ์จริง

16 ก.ค. 2565 | 12:27 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2565 | 19:41 น.

"หมอธีระ" แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกขณะนี้ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ส่วนใหญ่เป็นยอดจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็น 70.47% ของทั้งโลก แนะสธ.รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อสะท้อนสถานการณ์จริง

นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thira Woratanarat วันนี้ (16 ก.ค.) ระบุว่า จำนวน ผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ ในแต่ละวันของทั่วโลกขณะนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็น 70.47% ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวน ผู้เสียชีวิตจากโควิด คิดเป็น 65.38%

 

เมื่อวันศุกร์ (15 ก.ค.) ทั่วโลกมียอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น 617,204 คน เสียชีวิตเพิ่ม 1,095 คน รวมแล้วมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 566,020,541 คน เสียชีวิตรวม 6,383,840 คน โดย 5 อันดับแรกของประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้

 

เนื้อหาบทความนอกเหนือจากนี้ ระบุว่า

 

เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก

 

จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 70.47 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 65.38

สถานการณ์ระบาดของไทย

จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า

 

จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย แม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม

 

ตัวเลขรายงานของทั่วโลก

จะเห็นว่าค่าเฉลี่ย 7 วันของจำนวนติดเชื้อใหม่ต่อประชากร 1 ล้านคนของโลก ทวีป และประเทศนั้น สะท้อนให้เห็นว่ากำลังอยู่ในขาขึ้นกันเป็นส่วนใหญ่

 

ยกเว้นของไทย ที่ตัวเลขรายงานแต่ละวันนั้นไม่ได้สะท้อนจำนวนติดเชื้อใหม่ที่เกิดขึ้นจริง แต่เลือกรายงานเฉพาะที่ป่วยมารับการรักษาในโรงพยาบาล

 

การรายงานต่ำกว่าความเป็นจริงนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อระบบข้อมูลของสากลที่ใช้ในการเปรียบเทียบสถานการณ์ระหว่างประเทศและภาพรวมของโลกได้

 

ทั้งนี้หากมาดูค่าเฉลี่ยรอบ 7 วันของจำนวนเสียชีวิตใหม่ต่อประชากร 1 ล้านคน จะเห็นว่า จำนวนการเสียชีวิตของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ของทวีปเอเชีย และสูงกว่าอีกหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

 

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความไม่สอดคล้องกันของตัวเลขติดเชื้อที่รายงาน และตัวเลขการเสียชีวิต ซึ่งตอกย้ำว่าตัวเลขติดเชื้อที่รายงานนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงนั่นเอง

ดังนั้นหากเราตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการรับรู้ของประชาชนในประเทศ และผลกระทบต่อการเฝ้าระวังระหว่างประเทศ การกลับทิศทางนโยบายให้หันมารายงานตัวเลขการติดเชื้อที่สะท้อนสถานการณ์จริงนั้นจะเป็นประโยชน์มากกว่าการปล่อยให้เป็นไปในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

โควิด-19 ในสหราชอาณาจักร

ล่าสุด Office for National Statistics (ONS) ได้ออกรายงานวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 อัพเดตสถานการณ์ที่สำรวจการติดเชื้อ พบว่ามีการติดเชื้อกันมากขึ้นกว่าเดิม โดยพบว่าประชากรในประเทศอังกฤษ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และสก็อตแลนด์ มีการติดเชื้อคิดเป็นสัดส่วน 1:19, 1:17, 1:17, และ 1:16 ตามลำดับ

 

อัพเดต BA.2.75 (nickname: Centaurus)

Yamasoba D และคณะวิจัยจากญี่ปุ่น เผยแพร่ผลการวิจัยใน bioRxiv วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 โดยศึกษาพบว่า BA.2.75 นั้นมีลักษณะการดื้อต่อยาแอนติบอดี้ที่ใช้ในการรักษาหลายชนิด เฉกเช่นเดียวกับ Omicron สายพันธุ์ย่อยที่ระบาดมาก่อน แต่ยาแอนติบอดี้บางชนิดก็ยังสามารถใช้ได้ผลในการจัดการเชื้อ เช่น Regdanvimab, Sotrovimab, Tixagevimab

 

ในขณะที่ Cao YR จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เผยแพร่ผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการแบบไม่เป็นทางการ ชี้ให้เห็นว่า BA.2.75 นั้นมีแนวโน้มจะจับกับตัวรับ ACE2 ได้มากกว่า BA.4 และ BA.5

 

แต่ในเรื่องการดื้อต่อภูมิคุ้มกันนั้น ศึกษาโดยดูภูมิคุ้มกันจากคนที่ฉีดวัคซีนแล้วเกิดติดเชื้อโรคโควิด-19 พบว่า BA.2.75 ดื้อกว่า BA.2.12.1 แต่อาจน้อยกว่า BA.4 และ BA.5 ยกเว้นกรณีที่เป็นคนที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้ามาก่อน BA.2.75 จะดื้อต่อภูมิมากกว่าคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron BA.1 และ BA.2 มาก่อน

 

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอผลการศึกษาอย่างเป็นทางการ และจากการวิจัยอื่นๆ ในเวลาอันใกล้นี้ เพื่อให้ยืนยันลักษณะการดื้อต่อภูมิคุ้มกันของ BA.2.75

 

...สำหรับการระบาดของไทยเราตอนนี้ การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องจำเป็น เลี่ยงกิจกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง

...ใส่หน้ากากให้ถูกต้องนะครับ สำคัญมาก...