“สุพัฒนพงษ์”ชงครม.ขอกู้ 2 หมื่นล้าน โปะกองทุนน้ำมัน

15 พ.ย. 2564 | 14:44 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ย. 2564 | 22:18 น.

สุพัฒนพงษ์ เตรียมทำเรื่องเสนอของกู้เงิน 20,000 ล้านบาทเข้าที่ประชุม ครม. หลังสถานะกองทุนน้ำมันเงินเชื้อเพลิงใกล้หมด ระบุราคาน้ำมันตลาดโลกยังแกว่งตัว

นายสุพัฒนพงษ์  พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมาตรี  และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังเร่งดำเนินการเรื่องการขอกู้ยืมเงินเพิ่มเติมภายใต้ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาอย่างเร็วที่สุด  เนื่องจากสถานะของกองทุนน้ำมันฯในปัจจุบันมีจำวนเงินเหลืออยู่ไม่มาก และจะสามารถช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรได้จนถึงสิ้นปี 64 เท่านั้น

อย่างไรก็ดี กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด โดยมองว่าน่าจะอ่อนตัวลงได้  เนื่องจากหากผู้ผลิตน้ำมันขึ้นราคาเร็วเกินไป ก็จะส่งผลทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกช้าลง จากภาวะเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นตาม ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) ของโลกก็ยังไม่สู้ดีเท่าใดนัก ซึ่งการปรับขึ้นราคาดังกล่าวจะไม่เป็นประโยชน์กับผู้ใดเลย

“สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเวลานี้ค่อนข้างแกว่งตัว โอเปกเองก็หารือกันบ้าง ไม่หารือกันบ้าง ซึ่งมีผลต่อราคาน้ำมัน ขณะที่เงินกองทุนน้ำมันฯของไทยเองก็ร่อยหลอลงทุกที จึงต้องเร่งดำเนินการนำเสนอเรื่องขอกู้เงิน 2 หมื่นล้านให้ ครม. พิจารณาในเร็ววัน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันฯในการรองรับมาตรการดูแลราคาน้ำมันในประเทศ”

ส่วนข้อเรียกร้องของภาคเอกชนที่ต้องการให้รัฐบาลนำโครงการช็อปดีมีคืนกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้นั้น  เรื่องดังกล่าวนี้อยู่ในแผนที่รัฐบาลกำลังพิจารณา เนื่องจากโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ยังไม่เห็นผลมากตามที่คาดหวัง เนื่องจากผู้มีรายได้สูงมองว่าไม่สะดวกในการใช้มาตรการ โดยอาจจะนำโครงการช็อปดีมีคืนมาใช้ในปี 65 เพื่อให้เกิดการต่อเนื่องกับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่จะสิ้นสุดลงภายในสิ้นปี 64 โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปศึกษาความเป็นไปได้ และความเหมาะสมของมาตรการต่อไป

ขณะที่ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนจากรัฐบาลนั้น เวลานี้ประเทศไทยก็ได้ดำเนินการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวจาก 63 ประเทศโดยไม่ต้องกักตัว และการเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรเพื่อให้สามารถเปิดประเทศดังกล่าวได้ โดยหากดูจากข้อมูลทางเศรษฐกิจก็จะพบว่ามีการอุปโภคบริโภคในประเทศ รวมถึงการเคลื่อนไหว และการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือทุกคนในประเทศจะต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

สุพัฒนพงษ์  พันธุ์มีเชาว์

“การเปิดประเทศได้รับการสนับสนุนจากทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ผ่านมา  แต่ทั้งนี้ก็ต้องจับตาเทศกาลลอยกระทงในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ว่ามาตรการของรัฐ รวมถึงเอกชน และประชาชนที่จะต้องช่วยกันนั้น จะสามารถควบคุมการแพร่ของโควิดได้ดีหรือไม่ เพื่อให้ต่อเนื่องไปยังเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะถึง  ซึ่งคาดว่าจะมีนักเท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก และมีการใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากในหลายภาคส่วนทั้งค่าที่พัก อาหาร ค่าเดินทาง เป็นต้น”

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ได้ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2564 ทั้งปีคาดจะขยายตัว 1.2% ตามกรอบบนที่คาดไว้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนปี 2565 คาดอัตราเติบโตที่ 4%

“จีดีพีปี 64 ที่ขยายตัว 1.2% เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยลดลง 6.1% ในปี 63 ส่วนอัตราเงินเฟ้อปี 64 คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 1.2%”