ดิ้นตรึงดีเซล 30 บาท กพช.ลดเงินนำส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ 0.05 บาทต่อลิตร

05 พ.ย. 2564 | 17:46 น.
อัปเดตล่าสุด :06 พ.ย. 2564 | 00:51 น.

กพช. เห็นชอบลดเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.05 บาทต่อลิตร ช่วยตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร พร้อมทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 63 – 67

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตา ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 ปี

ทั้งนี้ ให้มีผลทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา อีกทั้งยังเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2567 ปีละ 4,000 ล้านบาท  

และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข รวมถึงลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนและกลุ่มงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวม 12,000 ล้านบาท
"การดำเนินการดังกล่าว  เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (covid-19) ส่งผลต่อความเป็นอยู่"

กพช.เค้าลดเงินนำส่งกองทุนอนุรักษ์พลังงาน 0.05 สตางค์
 

อย่างไรก็ดี ที่ประชุม กพช. ยังเห็นชอบให้ทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 เพื่อรับรองกรณีมีการเปลี่ยนแปลงวงเงินกู้ โดยให้การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้ต้องไม่เกิน จำนวน 40,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 แห่ง พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 การใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้จ่ายได้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 
และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ หรือการบริหารกองทุนน้ำมันฯ และกิจการอื่นที่เกี่ยวกับ หรือเกี่ยวเนื่องกับการจัดการกิจการของกองทุนน้ำมันฯ การทบทวนแผนรองรับวิกฤตฯ ครั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบให้ ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Price Review) จากสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาว บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท PETRONAS LNG LTD., เนื่องจากสถานการณ์ตลาด LNG ในปัจจุบันมีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับเงื่อนไขสัญญาระหว่าง บริษัท ปตท. และ PETRONAS นั้นก็ให้คู่สัญญาเปิดเจรจา Price Review ได้ในระหว่างปีที่ 5 ของสัญญา 
ปตท. จึงขอเจรจาในปี 2564 เพื่อปรับลดราคา LNG โดยได้ข้อสรุปผลการเจรจา LNG Price Review สามารถปรับลดสูตรราคา LNG SPA ลงเฉลี่ย -7% ซึ่งสามารถลดต้นทุนการจัดหา LNG ลงประมาณ 900 - 1,000 ล้านบาทต่อปี หรือรวมประมาณ 4,500 - 5,000 ล้านบาทในปี 2565 - 2569 หรือลดต้นทุนค่า Ft ประมาณ 0.42 สตางค์ ต่อหน่วย และกพช.มอบหมายให้บริษัท ปตท.ฯ เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาต่อไป
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุม กพช. ยังเห็นชอบให้บรรจุโครงการ LNG Terminal พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 [T-3] ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง ซึ่งมีกำลังการแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซ 10.8 ล้านตัน ต่อปี (ขยายได้ถึง 16 ล้านตันต่อปี) ไว้ในแผนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการฯ ตามแผนดำเนินงานของ EEC และสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด 
ตลอดจนดำเนินการกำกับดูแลและบริหารจัดการ LNG Terminal ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการจัดหา LNG ของประเทศให้มีการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความมั่นคง เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ และผู้ใช้พลังงาน ทั้งรายเก่าและรายใหม่ รวมถึงการสร้างระบบเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ทันสถานการณ์ และสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบอัตรา ค่าไฟฟ้าและการขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป. ลาว ดังนี้ โครงการน้ำงึม 3 ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8934 บาทต่อหน่วย โครงการปากแบง ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.7935 บาทต่อหน่วย โครงการปากลาย ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.9426 บาทต่อหน่วย โดยอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดสัญญาและมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการน้ำงึม 3 โครงการปากแบง และโครงการปากลาย ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด แล้ว เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า

กพช. เห็นชอบให้ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว
"ที่ประชุมยังได้เห็นชอบขยายกรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและ สปป. ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้า ใน สปป. ลาว จาก 9,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,500 เมกะวัตต์ ทั้งนี้การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจาก สปป.ลาว นั้น สอดคล้องตามกรอบ แผนพลังงานชาติ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ และสอดคล้องทิศทางพลังงานโลก ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด ลดการปล่อย CO2 อีกด้วย"
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า กพช. ได้เห็นชอบหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT ปี 2565 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 5.08 บาทต่อหน่วย (FiT Premium 8 ปี 0.70 บาท/หน่วย) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) กำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 – 50 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 3.66 บาทต่อหน่วย และระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี
โดยมอบหมายให้ กกพ. พิจารณากำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินการแต่ละโครงการต้นทุนการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เพื่อใช้เป็นอัตราในการประกาศรับซื้อไฟฟ้าต่อไป
"กพช. ยังได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 5 ฉบับ (5 ผลิตภัณฑ์) ดังนี้ 1. ร่างกฎกระทรวงความร้อนแบบดึงความร้อนจากอากาศถ่ายเทให้แก่น้ำที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ... 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดฟิล์มติดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ... 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉนวนอุตสาหกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ..... 4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเตารังสีอินฟราเรดที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ... และ 5. ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัดลมอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ... และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำร่างกฎกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป"

อย่างไรก็ตาม จากกาารติดตามข้อมูลของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่า ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมากระทรวงพลังงาน โดย กบง. มีความพยายามในการออกมาตรการเพื่อพยุงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท ประกอบด้วย
กบง. มีมติเห็นชอบให้ปรับลดสัดส่วนไบโอดีเซลน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้มีสัดส่วน จากบี 10 ,บี 7 เหลือสัดส่วนเดียว คือ บี 6 เป็นระยะเวลาสั้นตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2564 ถึง 31 ตุลาคม 2564 เพื่อที่จะลดน้ำมันฐานให้การผสมเหลือ 6%  เพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยเหลือน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้ดำเนินการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากปัจจุบันที่เก็บจากบี 7 จำนวน 1 บาท เพื่อเข้ากองทุนน้ำมันฯ เหลือ 1 สตางค์ รวมถึงลดค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาจากเดิมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.80 บาท หรือ 1.40 บาท หรือลดลง 40 สตางค์
ล่าสุด กบง. มีมติปรับสูตรน้ำมันดีเซลกลับมาเป็นแบบเดิมเหลือ 3 ชนิด ได้แก่  บี 7 ,บี 10 และ บี 20 ซึ่งกำหนดให้ส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 กับบี 10 อยู่ที่ 0.15 บาทต่อลิตร และส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 กับบี20 อยู่ที่ 0.25 บาทต่อลิตร โดยยังคงค่าการตลาดกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร และยกเลิกดีเซลบี6 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 64 เป็นต้นไป