สกุลเงินดิจิทัล มีแนวโน้มที่จะเป็นแกนหลักของนโยบายเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่สอง โดยข้อเสนอที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดของเขาก็คือการสร้าง กองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ (SBR) ซึ่งสหรัฐฯ จะต้องซื้อสกุลเงินดิจิทัลเป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าเพื่อเก็บไว้เป็น กองทุนสำรอง ซึ่งคล้ายกับ กองทุนสำรองปิโตรเลียม เชิงยุทธศาสตร์ของ ประเทศ
ก่อนหน้านี้สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้วางแผนยกระดับให้อุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี กลายเป็น วาระสำคัญระดับชาติ ที่ต้องเร่งดำเนินการภายหลังจากเข้าพิธีสาบานตน
แต่มีการถกเถียงกันระหว่างผู้สนับสนุนแผนดังกล่าวกับผู้ไม่เชื่อมั่น เช่น ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ คำถามทางการเมืองหลักๆ อยู่ที่ว่า SBR จะมีลักษณะอย่างไร และทรัมป์จะสามารถนำข้อเสนอนี้ไปปฏิบัติได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวคิดที่ใหญ่กว่านี้ที่อาจเกิดขึ้นได้ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระเบียบเศรษฐกิจโลก ผู้เล่นรายใหม่และรูปแบบสกุลเงินใหม่ๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้น
ซินเธีย ลัมมิส (Cynthia Lummis) วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของ SBR เสนอให้สหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin จำนวน 200,000 หน่วยต่อปีเป็นเวลา 5 ปี
ขั้นตอนแรกที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่า คือ การกำหนดให้บิตคอยน์จำนวนประมาณ 207,000 บิตคอยน์ที่สหรัฐฯ ถือครองอยู่แล้วเป็นเงินสำรองที่จะถือครองโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งการซื้อบิตคอยน์ในปริมาณมากเพิ่มเติม จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและต้องได้รับความยินยอมจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ปัจจุบันกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คัดค้าน
เมื่อถูกถามว่าทรัมป์จะสามารถบรรลุตามคำมั่นสัญญาได้หรือไม่ ยังไม่ชัดเจนว่า SBR ในระดับรัฐบาลกลางจะมีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะผ่านสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสภาล่างของสหรัฐฯ ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม มีรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ 13 รัฐที่กำลังพิจารณาหรือเสนอร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้ง SBR อย่างจริงจัง แล้ว
ในทางเศรษฐกิจ ข้อโต้แย้งหลักประการหนึ่งก็คือ SBR สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงเพื่อปกป้องความมั่งคั่งของประเทศจากภาวะเงินเฟ้อและการลดค่าเงิน ในขณะที่ธนาคารกลางสามารถพิมพ์สกุลเงินทั่วไปได้ตามต้องการ ซึ่งจะทำให้มูลค่าของสกุลเงินลดลง แต่ Bitcoin มีอุปทานคงที่ (จำนวนที่หมุนเวียนอยู่ไม่สามารถเกิน21 ล้าน ได้ ) ซึ่งอาจจำกัดการลดค่าเงินได้
ผู้สนับสนุนกล่าวว่า SBR สามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่งในลักษณะเดียวกับการสำรองทองคำในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ Bitcoin จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ทองคำดิจิทัล
ข้อโต้แย้งที่อีกประการหนึ่งก็คือ มูลค่าทางการเงินของ SBR อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้จึงสามารถชำระหนี้สาธารณะ ของสหรัฐฯ ได้ ข้อโต้แย้งนี้เป็นเพียงทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการทดสอบเป็นส่วนใหญ่ และกลไกที่ชัดเจนยังคงไม่ชัดเจน
กลับกัน นักวิเคราะห์บางคนกังวลว่า SBR อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเงิน หาก บิตคอยน์ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางให้เป็นสกุลเงินสำรองของโลก อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก
ความไม่มั่นคงอาจเพิ่มขึ้นได้จากความผันผวนของราคา
ในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin ตัวอย่างเช่นราคา ของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นจากประมาณ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นปี 2019 มาเป็นเกือบ 68,000 ดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤศจิกายน 2021
จากนั้นมูลค่าของ Bitcoin ก็ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วงปลายเดือนมกราคม 2022 และตกลงมาเหลือประมาณ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปัจจุบัน มูลค่าของ Bitcoin พุ่งสูงกว่า 95,000 ดอลลาร์สหรัฐ
อำนาจเหนือของสหรัฐฯ ยังคง
ระเบียบหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีโครงสร้างเดิมที่อยู่ภายใต้ระบบที่ควบคุมโดยเงินดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์สหรัฐผูกกับทองคำและเงินสกุลอื่นๆ ผูกกับเงินดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีเสถียรภาพและเชื่อมั่นมากขึ้น
ระบบอัตราคงที่ถูกยกเลิกไปในช่วงทศวรรษ 1970 อำนาจเหนือของสหรัฐฯ ยังคงดำรงอยู่ต่อไปผ่านระบบเปโตรดอลลาร์ ซึ่งกำหนดราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์ บทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรอง ของโลก และอิทธิพลของสหรัฐฯ ในสถาบันระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ทำให้อำนาจเหนือนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
แต่แนวโน้มที่ทับซ้อนกันได้คุกคามที่จะโค่นล้มอำนาจของดอลลาร์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ก็คือ การเติบโตของเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ และอื่นๆ ( BRICS+ ) กำลังสร้างระบบโลกที่มีหลายขั้วอำนาจมากขึ้น สิ่งนี้ท้าทายตำแหน่งของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจ และปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่เจอกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประเทศเหล่านี้ยังเพิ่มบทบาทความเป็นผู้นำระดับโลกอีกด้วย
ต่อมาคือ การกระจายอำนาจของระบบการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในปี2007-2008 โทเค็นที่ใช้เป็นเงินที่ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง ในแง่นี้สกุลเงินดิจิทัลซึ่งทำงานอย่างอิสระจากกลไกการจัดหาเงินของธนาคารกลางและกระทรวงการคลังแบบดั้งเดิม ถือเป็นเงินส่วนตัวต้นแบบ
ยังมีแนวโน้มที่อีกซึ่งก็คือ รัฐบาลมอบอำนาจควบคุมที่สำคัญให้กับผู้ดำเนินการเอกชน เช่น ผู้ให้บริการและการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล เพื่อบรรลุเป้าหมายนโยบายสาธารณะโดยใช้เครื่องมือและบริการทางการเงินที่จัดทำโดยผู้ดำเนินการเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากระเบียบเก่าที่รัฐบาลมีอำนาจโดยตรงมากขึ้น
การแข่งขันการสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์
รายงานระบุว่า ทรัมป์ได้ให้ความสำคัญกับคริปโตเป็นลำดับแรกๆ เพื่อส่งสัญญาณถึงขั้นตอนต่อไปในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ดุลอำนาจกำลังเคลื่อนตัวออกจากรัฐต่างๆ และมุ่งไปที่บริษัทที่ถือครองคริปโตเคอเรนซี ตลาดแลกเปลี่ยนที่ใช้แลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี และเจ้าของกองทุนคริปโตเคอเรนซีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หากสหรัฐ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจชั้นนำอีกประเทศหนึ่ง (เช่น จีน) หรือกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่ (เช่น กลุ่ม BRICS) กลายเป็นผู้ถือครอง Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัลหลักอื่นๆ อาจก่อให้เกิดการแข่งขันทางอาวุธของสกุลเงินดิจิทัลในระดับโลก ซึ่งประเทศต่างๆ จะพากันเร่งเพิ่มปริมาณสำรองของตน
มีรายงานจากสื่อต่างๆ แล้วว่าประเทศ อื่นๆ รวมถึงญี่ปุ่น รัสเซีย และจีน กำลังสะสม Bitcoin ก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศ SBR และทรัมป์ ยังระบุด้วยว่า อาจยกเลิกกฎการบัญชีคริปโตที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้ง ซึ่งจะอนุญาตให้ธนาคารต่างๆ ถือ Bitcoin ได้มากขึ้น