กูรูคริปโต วิเคราะห์ไอเดีย "ทักษิณ" ออกStablecoin ต้องระวัง 3 ความท้าทาย

26 ธ.ค. 2567 | 05:45 น.

กูรูคริปโต วิเคราะห์ไอเดียอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ออกพันธบัตร หนุนStablecoin ชี้ต้องระวัง 3 ความท้าทาย ยังไม่ชัดใช้ระบบบล็อกเชนแบบไหนกันแน่ ย้ำอาจเป็นคู่แข่งเงินบาท ต้องหารือแบงก์ชาติ

ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน อาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง FWX แพลตฟอร์ม DeFi  ได้แสดงความเห็นในรายการ "เข้าเรื่อง" เผยแพร่ทางยูทูปช่องฐานเศรษฐกิจ ต่อแนวคิดการออกStablecoinของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้นำเสนอในงานปาฐกถาพิเศษอีสานเน็กซ์

ดร.อุดมศักดิ์ได้อธิบายว่า Stablecoinเป็นเหรียญคริปโตประเภทหนึ่งที่อยู่บนบล็อกเชน โดยมีมูลค่าคงที่และมีสินทรัพย์หนุนหลัง ซึ่งแตกต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีทั่วไปอย่างบิทคอยน์ที่ราคาผันผวนตามตลาด ยกตัวอย่างเช่น USDT ที่มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เสมอ โดยบริษัทผู้ออก USDT จะเก็บเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน

แต่USDT นั้น ไม่ได้ออกโดยรัฐบาล ผู้ออกเหรียญ USDT เป็นบริษัทเอกชนซึ่งเมื่อมีคนนำเงินมากแลกเป็นเหรียญUSDT ทางบริษัทก็จะนำไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯเก็บไว้เพราะมีผลตอบแทน 

ซึ่งหากทางรัฐบาลต้องการออกหนึ่งStablecoin เท่ากับหนึ่งบาท Stablecoinตัวนี้ก็จะกลายเป็นคู่แข่งกับเงินบาท ทางรัฐบาลก็ต้องไปคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ เพราะอาจส่งกระทบและมีสิ่งที่แบงก์ชาติมีความกังวลใจ

 

สำหรับแนวคิดของอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น ดร.อุดมศักดิ์มองว่าเป็นแนวคิดแบบไฮบริด ที่ไม่ได้นำพันธบัตรที่มีอยู่มาปล่อยเงินเข้าระบบทั้งหมด และไม่ได้กำหนดให้ประชาชนต้องนำเงินมาแลกทั้งหมด โดยอาจมีเงินประชาชนส่วนหนึ่งมาซื้อพันธบัตรและออกเป็นสเตเบิลคอยน์ ขณะที่รัฐบาลอาจออกStablecoinบางส่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

กูรูคริปโต วิเคราะห์ไอเดีย \"ทักษิณ\" ออกStablecoin ต้องระวัง 3 ความท้าทาย

และได้เสนอให้ไทยพิจารณาการออกStablecoinบนบล็อกเชนสาธารณะ แทนการสร้างบล็อกเชนของรัฐบาลเอง เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสการใช้งานในระดับสากล ไม่จำกัดเฉพาะในประเทศ และเงินบางส่วนอาจไหลเวียนในระบบคริปโตสากล ขณะที่รัฐบาลได้ผลตอบแทนจากการถือพันธบัตร นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้ประเทศจากการเป็นผู้ออกStablecoin และสร้างความต้องการเงินบาทในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ 3 ประการ ประการแรก คือผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งต้องได้รับการยอมรับจากธนาคารแห่งประเทศไทย และอาจกระทบต่อการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ รวมถึงต้องพิจารณาผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน

ประการที่สอง คือการขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนส่วนใหญ่ทำงานต่างประเทศ และขาดกฎหมายรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโต

ประการสุดท้ายคือการยอมรับจากประชาชน เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้คริปโต

สุดท้ายได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของ USDT ที่ดำเนินการโดยบริษัท Tether ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลจากการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่เก็บ USDT ไว้ใช้ในระบบคริปโต โดยไม่ได้นำมาแลกคืนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ