นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) แพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวถึงการที่บิตคอยน์ราคาพุ่งแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำถึงการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะเครื่องมือทางการเงินกระแสหลักได้อย่างแท้จริง ด้วยมูลค่าตลาดรวมที่สูงถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
"บิตคอยน์จึงกลายเป็น 1 ใน 7 สินทรัพย์หรือบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เช่นเดียวกับทองคำ และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง NVIDIA, Apple และ Microsoft"
ความสำเร็จครั้งนี้ของราคาบิตคอยน์ ที่พุ่งสูงขึ้นครั้งนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายด้าน ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อสินทรัพย์ที่ทนทานต่อเงินเฟ้อ เช่น บิตคอยน์ ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ
อีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของบิตคอยน์ครั้งนี้คือแนวโน้มของนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตในสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลก หรือแผนการจัดตั้งคลังสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน
นอกจากนี้ การที่บริษัทชั้นนำอย่าง MicroStrategy ถือครองบิตคอยน์ถึง 1.5% ของจำนวนทั้งหมด ยังสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่เริ่มมองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ
การเปิดตัว Bitcoin ETFs และผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Bitcoin ETF Options ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้บิตคอยน์เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนสถาบันได้ง่ายขึ้น ช่วยให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตด้วยเช่นกัน
นายนิรันดร์ กล่าวต่อไปว่าในวันนี้ บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินกระแสหลัก บริษัทชั้นนำและรัฐบาลในหลายประเทศเริ่มให้ความสนใจในบิตคอยน์มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญในอนาคตของระบบการเงินโลก BINANCE TH มีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในช่วงเวลาสำคัญนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคนต่อไป”