เทียบฟอร์มหุ้นไฟแนนซ์ MTC-SAWAD-TIDLOR กำไรแรง รับเศรษฐกิจฟื้นตัว

09 ก.พ. 2568 | 08:00 น.

หุ้นไฟแนนซ์แรงไม่หยุด! MTC – SAWAD – TIDLOR กำไรโตทะลุเป้า รับอานิสงส์ต้นทุนดอกเบี้ย-ตั้งสำรองลด คุณภาพลูกหนี้ดูดีขึ้น โบรกลงเสียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสริมพลัง พร้อมมองผลงานปี 68 โอกาสเติบโตต่อ

กลับเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 4/67 และปี 67 แล้ว เหล่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่างเริ่มทยอยแจ้งผลการดำเนินงาน แน่นอนว่าด้วยเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังไม่น้อยว่าผลงาน บจ. ที่อิงเศรษฐกิจในประเทศจะดีขึ้นตาม

นำโดยหุ้นกลุ่มแบงก์ ที่เพิ่มจบการประกาศงบไป ทำผลงานออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ ที่น่าจับตามองอีกหลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มไฟแนนซ์ ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น อาจเป็นผลให้การตั้งสำรองลดลง สะท้อนต่อภาพรวมของกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นตาม แม้ว่ายอดการปล่อยสินเชื่อจะชะลอตัวลงตามความระมัดระวังในการให้สินเชื่อใหม่ก็ตาม

MTC ผลงานทุบสถิติสูงสุดใหม่

นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยในบทวิเคราะห์ว่า ทางฝ่ายคาด บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จำนวน 1,530 ล้านบาท โต 13.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 2.6% จากไตรมาสก่อน ทำสถิติสูงสุดใหม่ หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยและไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น บวกกับการตั้งสำรองที่ปรับตัวลง

กำไรสุทธิปี 68 คาดอยู่ที่ 6,518 ล้านบาท โต 11.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลาย แม้จะประเมินว่าการเติบโตของ MTC จะมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่มีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นไปที่กลุ่มฐานรากมากขึ้น คาดทำให้คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของสินเชื่อจำนำทะเบียนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปีนี้

นอกจากนี้ราคาหุ้น MTC ปรับตัวลงจนกลับมามี Upside น่าสนใจสำหรับลงทุนที่ 25.7%เมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 68 ที่ 55 บาท ดังนั้น จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ มูลค่าพื้นฐาน ที่ 55 บาท

บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า คาดการณ์กําไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของ MTC จะอยู่ที่ 1,538 ล้านบาท ขยายตัว 16.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 3.1% จากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อที่กลับมาเติบโตได้ดี รวมทั้งผลจากการเปิดสาขาใหม่ ขณะที่ Credit Cost ลดลงเล็กน้อยจากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้น แต่อาจเห็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานเพิ่มขึ้นบ้างตามฤดูกาล

แนวโน้มปี 68 คาดกําไรเติบโตราว 14% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสมมติฐานสินเชื่อที่เติบโต 15% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยคาดว่าสินเชื่อจะยังคงขยายตัวอย่างโดดเด่นได้ต่อ จากการเปิดสาขาเพิ่ม 500-600 สาขา ประกอบกับคาด Credit Cost อยู่ที่ 3.18% ลดลงราว 6 bps จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พอร์ตสินเชื่อ (Net Loan) ไตรมาส 4/67 คาดอยู่ที่ 1.61 แสนล้านบาท เติบโต 12.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.0% จากไตรมาสก่อน จากสาขาที่มี 8,172 สาขา (เพิ่ม 141 สาขาจากไตรมาส 3/67 ) ขณะที่ NIM คาดว่าจะอยู่ที่ 14.05% จาก 14.25% ในไตรมาส 3/67 ลดลง 21 bps โดยได้รับผลกระทบจากการที่ cost to fund สูงขึ้น

ด้าน cost to income คาดอยู่ที่ 47.00% จาก 46.92% ในไตรมาส 3/67 เพิ่มขึ้น 8 bps จากค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ NPL คาดอยู่ที่ 2.79% จาก 2.82% ลดลง 3 bps จากการที่บริษัทควบคุมคุณภาพของสินเชื่อเข้มงวดขึ้น และมีเป้าหมายที่จะควบคุม NPL ให้ไม่เกิน 3.2% ด้วยประมาณการดังกล่าว จึงคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 58.60 บาท

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 เติบโต 13.2% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.6% จากไตรมาสก่อน เป็น 1.5 พันล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น  credit cost ลดลง โดยกำไรสุทธิทั้งปี 67 คาดไว้ที่ 5.9 พันล้านบาท 19.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยหลักมาจากสินเชื่อขยายตัว

ด้านสินเชื่อดีขึ้นในไตรมาส 4/67 ขยายตัว 15.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 3.7% จากไตรมาสก่อน จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่มีหลักประกัน คือ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถและโฉนดที่ดิน ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คาดชะลอตัวลงตามแผนของบริษัทที่ลดการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน

MTC เปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 635 แห่งในปี 67 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ตั้งไว้ 600 แห่ง ส่งผลให้จำนวนสาขารวมอยู่ที่ 88,172 แห่ง ณ สิ้นปี 67

ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น จากประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ที่ดีขึ้น ลดการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เร่งตัดหนี้สูญ และขาย NPL ทั้งนี้ คาดการณ์ NPL ratio สิ้นไตรมาส 4/67 ลดเป็น 2.8% และคาด credit cost ลดลงสู่ 3. 00% ในไตรมาส 4/67

สำหรับปี 68 ยังเติบโตต่อได้ดี โดยคาดกำไรสุทธิปี 68 ขยายตัว 19.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน มาจากสินเชื่อขยายตัว 19.3% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ทั้งจากสินเชื่อสาขาเดิมดีขึ้นและการขยายสาขาเพิ่ม, C/I ratio ลดลงจากบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ credit cost ลดลง แม้ว่า NIM จะแคบลงก็ตาม คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 65 บาท

SAWAD รับอานิสงส์รัฐแจกเงิน

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยในบทวิเคราะห์ว่า คาด บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จำนวน 1,412 ล้านบาท โต 11.4% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 8.6% จากไตรมาสก่อน หลังผลขาดทุนจากการขายรถยึดต่ำลง และสำรองลดลง สำหรับปี 68 คาดกำไรสุทธิ 5,840 ล้านบาท โต 12.1% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงต่อ จากผลของมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท รวมถึงการกลับมาเร่งขยายสินเชื่อ โดยที่ยังควบคุมต้นทุนทางการเงินได้ดี

ทั้งนี้ มอง SAWAD เป็นหุ้นไฟแนนซ์ที่บริษัทมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หลังปัจจัยกดดันต่างๆคลี่คลายลง ประกอบกับได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ทั้งมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 และเฟส 3 รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. ที่คาดจะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งแรกปี 68 จึงคงคำแนะนำซื้อ โดยให้มูลค่าพื้นฐานปี 68 ที่ 50 บาท

บล.บัวหลวง ระบุว่า SAWAD ได้รับการจัดอันดับ credit rating “A-” แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ จาก Fitch มีมุมมองเป็นบวกต่อการได้ credit rating ที่ดีขึ้นของ SAWAD เพราะจะทำให้ต้นทุนในการออกหุ้นกู้ใหม่ถูกลง เรายังแนะนำซื้อ จากแนวโน้มผลการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ฟื้นตัวในปี 68

TIDLOR โค้ง 4/67 กำไรแตะ 1 พันล้าน

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยมุมมองในบทวิเคราะห์ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ว่า คาดจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จำนวน 1,065 ล้านบาท โต 20.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.5% จากไตรมาสก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่ปรับตัวลง และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เร่งตัวขึ้นเด่น เพราะมีค่าโบนัสจากธุรกิจนายหน้าประกันเพิ่มขึ้น

ส่วนปี 68 คาดกำไรสุทธิ 4,622 ล้านบาท โต 8.7% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่ลดต่ำลง และการขยายฐานรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นหลังการปรับโครงสร้าง อย่างรไก็ดี มองพื้นฐานของ TIDLOR ยังแข็งแรงขณะที่การปรับโครงสร้างธุรกิจ

โดยคาดจะเริ่มกระบวนการ Tender Offer หุ้น TIDLOR เดิม ได้ภายในไตรมาส 2/68 และหลังจากนั้นบริษัทจะเร่งพัฒนาธุรกิจใน CLMV และธุรกิจนายหน้าประกันบน Digital Platform มากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 32.6% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 68 ที่ 22 บาท จึงคงคำแนะนำซื้อ

บล.บัวหลวง ระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 เท่ากับ 1.04 พันล้านบาท (สูงกว่าที่คาดไว้เดิม 6%) เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และโต 5% จากไตรมาสก่อน มีปัจจัยสนับสนุนจากสินเชื่อเติบโตและ credit cost ลดลง ขณะที่คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 จะเติบโตต่อเนื่องอีก 5% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 11% จากไตรมาสก่อน หนุนจากสินเชื่อเติบโต

สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิปี 68 ของ TIDLOR จะเติบโต 12% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายได้นายหน้าจากการขายประกันภัย ทั้งนี้ ในมุมของ Fundamental view แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 19 บาท

อย่างไรก็ตาม จากการที่ TIDLOR หันมาเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก โดยทางฝ่ายไปศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่า NPLs กับสินเชื่อของ TIDLOR มี correlation กันถึง 95% และหากมองลึกลงไปอีกก็พบว่า NPLs ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกกับสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกของ TIDLOR มี correlation กัน 76%

ซึ่งก็แปลว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR โดยปกติแล้วจะฟื้นตัวในช่วงที่คุณภาพสินทรัพย์ของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนของ TISCO ฟื้นตัว หรือในช่วงที่ TIDLOR มีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของ TIDLOR จะเติบโต 16.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และขยายตัว 6.1% จากไตรมาสก่อน เป็น 1.05 พันล้านบาท ปัจจัยหนุนการเติบโต เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน คือ รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้น และ credit cost ลดลง

ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปี 67 คาดไว้ที่ 4.2 พันล้านบาท เติบโต 11.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน มาจากสินเชื่อขยายตัว รายได้ค่าธรรมเนียมสูงขึ้น แม้ว่า credit cost จะเพิ่มจากปี 66 ก็ตาม

ในด้านการเติบโตของสินเชื่อดีขึ้นในไตรมาส 4/67 คาดว่าสินเชื่อขยายตัว 8.1% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต  2.6% ไตรมาสก่อน โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ รถ 4 ล้อ และรถบรรทุกรวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกฟื้นตัวด้วย ทั้งนี้ TIDLOR เปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 100 แห่งในปี 67 เทียบกับที่เปิด 50 แห่งในปี 66 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้จำนวนสาขารวมอยู่ที่ 1,778 แห่ง ณ สิ้นปี 67

สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น จากประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ที่ดีขึ้น การระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงที่ผ่านมทางฝ่ายคาดการณ์ NPL ratio สิ้นไตรมาส 4/67 ลดเป็น 1.85% จาก 1.88% ในสิ้นไตรมาส 3/67 และคาด credit cost ไว้เท่ากับ 3.52% ในไตรมาส 4/67 ลดจาก 3.91% ในไตรมาส 3/67 เป็นผลมาจากคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้นและการตัดหนี้สูญลดลงในไตรมาสนี้

ส่วนทั้งปี 67 ประเมิน credit cost ไว้ที่ 3.58% (เพิ่มจาก 3.34% ในปี 66) คาด coverage ratio สิ้นปี 67 ไว้ที่ 244% ลดลงจาก 282% ในสิ้นปี 66 แต่ก็ยังสูงมาก อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายคงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 21 บาท โดยเชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ TIDLOR น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่า ผลประกอบการจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโดยรวม