ในการประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% เหลือ 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทย ธุรกิจ และประชาชนทั่วไป? มาวิเคราะห์กันในรายละเอียด
กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้:
1. เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต
2. การแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง
3. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ ใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมาย
4. ภาวะการเงินยังตึงตัว แม้มีสัญญาณทรงตัวบ้างในภาพรวม แต่สินเชื่อ SMEs ยังหดตัวต่อเนื่อง
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและพฤติกรรมของประชาชนและธุรกิจดังนี้:
1. ผลต่อสถาบันการเงิน สถาบันการเงินต่างๆ จะทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง อย่างไรก็ตาม การปรับลดอาจไม่เท่ากับการลดดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากสถาบันการเงินต้องพิจารณาต้นทุนอื่นๆ และการแข่งขันในตลาดประกอบด้วย
2. ผลต่อประชาชนทั่วไป ผู้ฝากเงิน ผลตอบแทนจากการฝากเงินจะลดลง ซึ่งอาจทำให้บางส่วนถอนเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือนำเงินออกมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ขณะที่ผู้กู้ ภาระผ่อนชำระหนี้จะลดลง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีหนี้แบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เช่น สินเชื่อบ้าน ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
ส่วนผู้ที่กำลังวางแผนกู้ ต้นทุนการกู้ยืมลดลง ทำให้การตัดสินใจกู้เงินเพื่อซื้อสินทรัพย์หรือลงทุนมีความน่าสนใจมากขึ้น
3. ผลต่อภาคธุรกิจ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลง ธุรกิจมีแรงจูงใจในการลงทุนหรือขยายกิจการมากขึ้น การผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อคาดการณ์ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
ด้านธุรกิจ SMEs ที่กำลังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขันจะได้รับการบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงิน
4.ผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม จะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ เพราะการลดดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ในระบบ ทั้งจากการบริโภคและการลงทุน สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
ขณะที่เงินเฟ้อ อาจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย
แม้การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ กนง. เน้นย้ำว่าปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยยังคงต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ความท้าทายจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก การยกระดับศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทย
กนง. ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสามารถรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ จะยังคงติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนนโยบายต่อไป
การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความกังวลของ กนง. ต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย และเป็นการพยายามสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว
อ้างอิงจาก: จะเกิดอะไรบ้าง ถ้าแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย