ในทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง โอกาสทำกำไรและขาดทุนอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าการได้กำไรหรือขาดทุนจะเป็นเรื่องธรรมชาติของการลงทุน แต่หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน และอาจทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหาย ทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ผ่านมาได้เพิ่มมาตรการดูแลการซื้อขายที่เข้มข้นมากขึ้่น
โดยเฉพาะการขายชอร์ต (Short Sell) เพื่อสร้างความโปร่งใสและช่วยลดความผันผวนของตลาด และเพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนทุกราย ด้วยการนำมาตรการ Uptick Rule มาใช้อีกครั้งในวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งเพียงครึ่งเดือนแรกก็เห็นผลอย่างชัดเจน ปริมาณการขายชอร์ตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรการ Uptick Rule นี้ เป็นที่รู้จักกันดีว่าจะช่วยป้องกันการ “ปั่นราคาหุ้น” โดยถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้การขายชอร์ตจำนวนมาก ดันราคาหุ้นเป้าหมายลงอย่างผิดปกติ เพื่อให้ผู้ขายชอร์ตได้กำไรอย่างไม่เป็นธรรม ที่สำคัญเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน สร้างความมั่นคงให้ตลาดโดยรวม
มาตรการ Uptick Rule ถูกดึงเข้ามาแทนเกณฑ์ Zero-Plus Tick Rule ที่ตลาดหลักทรัพย์เคยใช้ เพื่อหวังว่าจะทำให้ธุรกรรม Short Sell ทำได้ยากขึ้นในช่วงตลาดขาลง ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดจะมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ ทำให้มีโอกาสยากขึ้นที่ธุรกรรมซื้อ (Bid) จะขึ้นไปแตะราคาเสนอขาย (Offer) ที่เกิดจากการทำ Short Sell ที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดครั้งล่าสุด 1 ช่อง จึงช่วยลดความผันผวนของการปรับตัวลงของราคาหุ้นและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อตลาดเพิ่มขึ้น
แล้วมาตรการ Zero-Plus Tick Rule และ Uptick Rule แตกต่างกันอย่างไร ยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย
ตัวอย่าง Zero Plus Tick Rule
หุ้น XYZ ราคาฝั่งซื้อ (Bid) อยู่ที่ 20 บาท ถ้าต้องการ Short Sell สามารถทำได้ที่ราคา 20 บาทได้ทันที คือ Short Sale ที่ราคาล่าสุดบนกระดานเท่านั้น
ตัวอย่าง Uptick Rule
หุ้น XYZ ถ้าราคาล่าสุดอยู่ที่ 20 บาทผู้ที่ต้องการ Short Sell จะต้องส่งคำสั่งได้ที่ราคา 20.25 บาท หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต้องขายเหนือกว่าราคาล่าสุด 1 ช่องเท่านั้น
ทั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยก่อนหน้านี้ว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ทางบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเห็นชอบแนวทางปรับปรุงมาตรการเพื่อยกระดับความเชื่อมั่น ที่ได้เริ่มใช้บังคับในช่วงปี 2567 เป็นต้นมา โดยได้พิจารณาแนวทางและมาตรการอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมของการใช้มาตรการตามสถานการณ์
โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน และสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทย ซึ่งหลังจากนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) จากผู้เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งคาดว่าจะใช้บังคับได้ประมาณปลายไตรมาส 2/2568
หนึ่งในมาตราการสำคัญที่จะถูกปรับปรุงในครั้งนี้ คือ การกำกับดูแลการขายชอร์ต โดยมาตรการ Uptick - มีแนวทางกำหนดให้ Short Sale ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่อยู่ใน SET100 และมีราคาลดลงจากราคาปิดของวันก่อนหน้าถึงระดับที่กำหนด (เช่น x%) จะต้อง Short Sale ด้วยเกณฑ์ Uptick ในวันทำการถัดไป (กรณีอื่นใช้เกณฑ์ Zero-plus Tick)
"การปรับเกณฑ์บังคับใช้มาตรการ Uptick Rules นั้น เพื่อต้องการรักษาสมดุลของตลาดหุ้นไทยให้เหมาะสมกับภาวะปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นขนาด จำนวนหุ้น และนักลงทุน ให้มีความน่าสนใจและมีสภาพคล่องมากขึ้น จากแนวทางที่กำหนดให้เฉพาะหุ้นที่มีราคาลดลงจากราคาปิดของวันก่อนหน้าถึงระดับที่กำหนด “x%” จะต้อง Short Sale ด้วยเกณฑ์ Uptick ในวันทำการถัดไปนั้น มองว่าระดับที่เหมาะสมว่าจะเป็นเท่าไร จะต้องรับฟังผลเฮียริ่งจากผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศมีหลายระดับ เช่น 10-15%"
อย่างไรก็ตาม แนวทางในการปรับปรุงเกณฑ์ครั้งนี้ เพื่อต้องการดึงความเชื่อมั่นกลับมา และสร้างเสถียรภาพ โดยมีความพยายามปรับแก้มุมมองแบบองค์รวม (Holistic View) โดยการนำมาตรการที่มีต่างๆ มาทบทวน ซึ่งแนวทางดังกล่าว จะดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2569 และคาดว่าจะไม่มีมาตรการใหม่ๆ เพิ่มเติมแล้วหลังจากนี้ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่น และสร้างความชัดเจนให้กับผู้ลงทุน
หลังจากนี้อาจต้องจับตาความชัดเจนว่าเกณฑ์การปรับใช้มาตรการต่างๆ ทั้งมาตรการลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหลักทรัพย์ อาทิ มาตรการ Uptick (กำหนดให้ขายชอร์ตเฉพาะหุ้นที่อยู่ใน SET100 มีราคาลดลงจากราคาปิดของวันก่อนหน้าถึงระดับที่กำหนด เว้นกรณีอื่นใช้เกณฑ์ Zero-plus Tick) และมาตรการ Dynamic Price Band (ชะลอการเริ่มเฟส 2 จากเดิมจะประกาศใช้ภายในปีนี้)
รวมถึงมาตรการกำกับพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม อันได้แก่ มาตรการกำกับดูแลโปรแกรมซื้อขายความถี่สูง (HFT) (ที่ยังคงดำเนินการต่อ เพียงแต่จำกัดกรอบเฉพาะหลักทรัพย์ใน SET100 เท่านั้น) และ มาตรการ Minimum Resting Time (ยกเลิกมาตรการ) ว่าจะออกมาในทิศทางใด และจะยังคงลดความผันผวน ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับมาได้มากน้อยแค่ไหน เพราะต้องยอมรับว่าในเวลานี้ตลาดหุ้นไทยฉุดไม่ได้รั้งไม่อยู่เต็มที เรียกได้ว่ามีเรื่องให้ระทึกใจไม่เว้นแต่ละวัน