ปรับโฉม LTF สู่ Thai ESG แนวทางใหม่ กระตุ้นตลาดหุ้นไทย จูงใจนักลงทุนแค่ไหน

21 ก.พ. 2568 | 07:30 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.พ. 2568 | 10:56 น.

กองทุน LTF ใกล้หมดอายุ กระทรวงการคลังเปิดทางเลือกใหม่เแปลงโฉมเป็นกองทุน Thai ESG เพิ่มเติม โบรกกระตุ้นตลาดหุ้นไทยระยะสั้น แนะจับตารอดูเงื่อนไขที่ชัดเจน

จากกรณีที่ทาง "การกระทรวงการคลัง" เผยความคืบหน้าในส่วนของการเปลี่ยนการถือหน่วยลงทุนกองทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาสู่กองทุน Thai ESG ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบมาตรการ เพื่อรองรับการเปลี่ยนจากกองทุน LTF มาเป็นกองทุนใหม่ Thai ESG เพิ่มเติม

โดยกองดังกล่าวนั้น จะรองรับสำหรับ LTF ที่ครบกำหนดและยังไม่ได้ขายประมาณ 180,000 ล้านบาทเท่านั้น จะไม่ได้เป็นการใส่เงินก้อนใหม่เข้าไป หรือ เปิดขายใหม่ โดยคาดว่าจะดำเนินการได้ภายใน มี.ค.นี้

ในด้านของสิทธิประโยชน์ ปัจจุบันทีมงานกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด โดยขณะนี้เม็ดเงินในกองทุน LTF ที่ครบกำหนดในสิ้นปี 2568 นี้ มีจำนวนกว่า 2.4 แสนล้านบาท แต่ด้วยมีนักลงทุนทยอยขายออก ทำให้เหลือวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยการขายหน่วยลงทุนเฉลี่ยขาดทุนประมาณ 5-10%

ส่วนนโยบายในการลงทุนของ Thai ESG ใหม่ ทางกระทรวงการคลังเผยว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของออกแบบกองทุน ว่านโยบายการลงทุนของกองจะลงทุนเน้นที่ส่วนใด รูปแบบอาจจะไม่ได้เหมือนการลงทุนในกองทุน Thai ESG ในปัจจุบัน และวางโจทย์ต้องการส่งเสริมการออมระยะยาวโดยเฉพาะหุ้นในประเทศมากกว่า

ตามประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เกิดข้อสงสัยว่านโยบายการแปลงโฉมกองทุน LTF มาเป็นกองทุน Thai ESG ใหม่ จะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดทุนได้จริงหรือไม่ และจะสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะต้องยอมรับว่ามีนักลงทุนไม่น้อยที่ยังคงมีผลขาดทุนจากการขายหน่วยลงทุน LTF

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับการเปลี่ยนกองทุน LTF โยกมาเป็นกองทุน Thai ESG เวอร์ชั่นใหม่ ตามนโยบายกระทรวงการคลังนั้น มองว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่เข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดในระยะสั้น

แต่จากนี้คงต้องรอความชัดเจนในส่วนของเกณฑ์ หรือ เงื่อนไขต่างๆ ที่ชัดเจน จึงจะพอจะมองภาพออกได้ว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ในเรื่องการสร้างเม็ดเงินใหม่นั้นแน่นอนว่าต้องมีเข้ามาเพิ่มขึ้น เพียงแต่ก็อาจไม่ได้มากมายอย่างที่คาดหวัง ต้องยอมรับว่านักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุน LTF ไปก่อนหน้านี้ยังขาดทุนอยู่

"การโยก LTF มาเป็น Thai ESG เวอร์ชั่นใหม่ มองว่าก็จะช่วยสร้างเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม แต่ก็ต้องย้อนกลับมาดูด้วยว่าแล้วสิทธิพิเศษลดหย่อนภาษีที่จะเสนอจูงใจมากน้อยแค่ไหน หากเป็นเพียง 1-2 แสนบาท ก็อาจเป็นวงเงินที่ไม่ได้เยอะมากในการลดหย่อนภาษีซื้อหุ้นไทย"

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีของย้ายกอง LTF เป็น Thai ESG ยังไม่ได้มีความชัดเจน แต่มองว่าอาจไม่ได้ต่างกันมากนัก

ส่วนตัวกลับคิดว่าการแปลงโฉมกองทุน LTF ในครั้งนี้ เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนง่ายต่อการบริหารจัดการมากกว่า และหากเป็นเงื่อนไขเดิมมองว่าไม่ได้เป็นผลดีเพิ่มเติมต่อนักลงทุน จากนี้ไปอาจต้องรอดูว่ากระทรวงการคลังจะออกมาให้เกณฑ์ที่ชัดเจนในรูปแบบใด

"ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยในเวลานี้มีความผันผวนอยู่มาก จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน แทบจะเป็นไปตามปัจจัยรายวัน ความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นรายตัวที่มีสตอรี่ดียังคงมีอยู่ Valuation หุ้นไทยไม่แพงแล้ว แต่ความไม่แน่นอนของตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนไม่กล้าเสี่ยง เม็ดเงินใหม่ก็ไม่ใส่เข้ามา คนมีหุ้นในมือก็รอจังหวะขายออก หามุมลงทุนในตลาดต่างประเทศกันมาก การฟื้นตัวคงทำไม่ได้ง่าย การแปลงโฉมกองทุน LTF อาจเป็นมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นระยะสั้นได้ แต่ก็ต้องรอดูความชัดเจนขอเงื่อนไขต่อไป"

นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า ความคืบหน้าเรื่องการโอนย้ายกอง LTF เป็น Thai ESG และเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งปลัดคลังเผยรูปแบบกอง Thai ESG จะเป็นกองใหม่ที่ออกแบบเพื่อรองรับเม็ดเงินจาก LTF โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือรูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน มี.ค. 68 โดยมุมมองทางฝ่ายเชื่อว่า นโยบายของ Thai ESG ใหม่จะเน้นการลงทุนในหุ้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับกองกอง Thai ESG เดิม

โดยระยะเวลาถือครองขั้นต่ำเพื่อได้ประโยชน์ทางภาษีคาดว่าจะอยู่ที่ 5 ปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยยืดแรงขาย LTF เดิมออกไป ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโอกาสที่จะถูกเพิ่มน้ำหนักเมื่อเปลี่ยนจาก LTF เป็น Thai ESG ใหม่ ได้แก่ BDMS SCC PR9 TRUE และ INTUCH รวมถึงหุ้นที่ Thai ESG ใหม่มีโอกาสแรงซื้อเพิ่มเนื่องจาก LTF เดิมไม่มี เช่น JMART และ NER เป็นต้น

บล.ไอร่า ระบุว่า กระทรวงการคลังส่งสัญญาณจัดตั้งกองทุน Thai ESG 2 คาดจะเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 1/68 วงเงินราว 1.8 แสนล้านบาท คาดจะเป็นการโอนถ่ายเม็ดเงินจากกองทุน LTF ที่กำลังจะหมดอายุในปี 68 นี้ จะเป็นปัจจัยช่วยจำกัด Downside ของตลาดหุ้นไทยได้ ในส่วนของการทบทวน Uptick Rule ให้บังคับใช้เฉพาะหุ้นที่เข้าเกณฑ์ และห้ามทำ Short Sell ในหุ้นนอก SET100 มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกอ่อนๆ คาดจะช่วยกลับมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดได้บ้าง