นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ให้ทีมงานเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็เร่งเตรียมแผนการกระตุ้นตลาดทุนไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้นให้กลับคืนมา
โดยแผนเร่งด้วยที่จะเข้ามาช่วยกอบกู้ความเชื่อมั่นให้กำบนักลงทุนในระยะสั้นนั้น ประกอบด้วย 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่
1. การเปิด Co-location จะเริ่มไตรมาส 2/68 นี้ ที่จะปรับให้เป็นการบริการพื้นฐานไม่มีค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจหลักทรัพย์ใช้ฟรี มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ที่ผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้สามาถได้ประโยชน์จากการบริการ
เบื้องต้นคาดว่าจะมีบริษัทหลักทรัพย์มาร่วมใช้บริการมากกว่าครึ่ง จากปัจจุบันที่มีอัตราการใช้งานแล้วราว 30-40% มองว่าจะทำให้รายได้ส่วนนี้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หายไป แต่ตลาดทุนจะได้วอลุ่มการเทรดที่มากขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียม ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจในตลาดมากขึ้น
2. ภาษีการย้ายเงินลงทุนจากกองทุน LTF ไปลงทุนในกองทุน ThaiESG เพื่อสนับสนุนความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทยให้กลับมาก ปัจจุบันตลาดทุนมีแรงกดดันจาก LTF ที่ครบกำหนดและมีบางส่วนที่ขายหุ้นออกมา ประกอบกับแรงกดดันที่เป็นปัจจัยมาจากต่างประเทศ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ยิ่งทวีแรงการขายหุ้นออกมา
3. การซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ซึ่งเป็นอีกกลไกหนึ่งที่เข้ามาช่วยให้ข้อมูลของกิจการถูกสะท้อยออกไปอย่างเหมาะสม โดยในช่วงปีที่ผ่านมามีบริษัทที่ซื้อหุ้นคืนไปแล้วราว 35 หลักทรัพย์ จากปีก่อนหน้าที่มีระดับประมาณ 20 หลักทรัพย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ตลท.กำลังหารือกับกระทรวงพาณิชย์ ในการสนับสนุนให้การดำเนินการสะดวกมากขึ้น
โดยการจัดตั้งคณะทำงาน 3 ฝ่าย ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปรับกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค อาทิ การปลดล็อกการกำหนดสัดส่วนการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% และระยะเวลาการซื้อหุ้นคืน (จากเดิมที่ต้องเว้นวรรค 6 เดือน ในการซื้อหุ้นคืนแต่ละรอบ) เบื้องต้นคาดว่าจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพียงแต่ต้องแก้กฎกระทรวงเท่านั้น
สำหรับแผนการในระยะยาวนั้น ทางตลาดหลักทรัพย์จะทำการสนับสนุนให้ไทยเป็น Listing hub แหล่งระดมทุนของบริษัทในภูมิภาคและทั่วโลก เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย สร้างความง่านในการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business)
ส่วนการปรับปรุงเกณฑ์กำหนดให้หุ้นรายตัวในดัชนี SET50,SET50FF, SET100 และ SET100FF มีน้ำหนักไม่เกิน10% ในแต่ละรอบการคัดเลือกนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจความคิดเห็น (เฮียริ่ง) ซึ่งหากไม่มีใครคัดค้าน คาดว่าจะเริ่มประกาศใช้ได้ช่วงกลางปี 68 นี้
อย่างไรก็ตาม ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ คำนึงถึงกองทุนประเภท Passive Fund ให้มีผลกระทบน้อยที่สุด โดยเชื่อว่าเมื่อนำมาใช้จะช่วยลดความผันผวนที่ผิดปกติและลดการพึ่งพาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้