ตลาดหุ้นไทยแกว่ง Sideway กรอบ 1,250-1,270 จุด วนเวียนกับสงครามการค้า

19 ก.พ. 2568 | 09:32 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.พ. 2568 | 09:32 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ ส่อง SET Index วันนี้ 19 ก.พ.68 ผันผวนในกรอบ 1,250-1,270 จุด ทรัมป์ขู่เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์-เซมิคอนดักเตอร์-ยา ต้นเดือนเม.ย. กระทบจิตวิทยาการลงทุน เกาะติดรายงานประชุม FED คืนนี้ กลยุทธ์เน้นย่อสะสมหุ้นที่แนวโน้มกำไรดี

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) วันนี้ 19 ก.พ.68 ว่า คาดตลาดกลับมากังวลเรื่องประเด็นสงครามการค้าเพิ่มขึ้น หลังจากวานนี้ทางประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้ประกาศที่จะเรี่ยกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์

รวมไปถึงเซมิคอนดักเตอร์ และยา โดยคาดจะอยู่ที่ระดับ 25% ซึ่งมีโอกาสที่จะเริ่มใช้เร็วสุดในช่วงวันที่ 2 เมษายน ประเด็นนี้คาดกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้มากยิ่งขึ้น

ส่วนคืนนี้แนะติดตามการรายงานการประชุมธนาคารกลางรอบที่ผ่านมา (29 ม.ค.68) โดยอาจเป็นปัจจัยที่กดดันเพิ่มเติม เนื่องจากเนื้อหาอาจบ่งชี้ภาพรวมคณะกรรมการ FED ที่ยังไม่รีบในการปรับลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ซึ่งล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี วานนี้กลับมาดีดตัวขึ้น +7bps สู่ระดับ 4.55% สอดคล้อง Dollar Index ที่แข็งค่าสู่ 107 จุด 

ด้านราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้น ขานรับ OPEC+ ที่เลื่อนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนเมษายนออกไป โดยวานนี้ Brent +0.8% สู่ระดับ 75.84  ดอลลาร์/บาร์เรล

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ยังคงผันผวนตามการรายงานงบไตรมาส 4/67 ซึ่งยังคงต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด โดยจังหวะตลาดย่อ ยังมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เน้นหุ้นในกลุ่ม อาทิ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ธนาคาร, นิคมอุตสาหกรรม และโรงพยาบาล เป็นต้น

ปัจจัยที่ต้องจับตา

19 ก.พ. 68

  • ยอดสร้างบ้าน สหรัฐฯ
  • ใบอนุญาตก่อสร้างสหรัฐฯ
  • รายงานการประชุม FED ล่าสุด

20 ก.พ. 68

  • ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ
  • สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์สหรัฐฯ
  • Loan Prime Rate ของจีน

หุ้นเด่นแนะนำ

MTC (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 55.00 บาท)

  • รายงานกำไรไตรมาส 4/67 ที่ 1.54 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 3.5% จากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ และดีกว่าตลาดคาด 8.5%
  • คุณภาพสินทรัพย์ดี โดย NPL Ratio ไตรมาส 4/67 ลดลงสู่ระดับ 2.75% จาก 2.82% ในไตรมาส 3/67 และ credit cost ลดลงสู่ระดับ 2.81% จาก 3.11% ในไตรมาส 3/67
  • Valuation ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PE 14.2 เท่า และ PBV 2.3 เท่า