กูรูชี้ ยุคทรัมป์ 2.0 เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงการลงทุน ตักตวงผลตอบแทน

28 ม.ค. 2568 | 07:00 น.

โบรกส่องยุคทรัมป์ 2.0 อาจหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เป็นความไม่แน่นอนให้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ชี้การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากหุ้น พร้อมแนะจัดสรรการลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง

นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปี 67 พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นปีที่โดดเด่นสำหรับสินทรัพย์เสี่ยง แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเลือกตั้งในหลายประเทศทั่วโลก ดัชนี MSCI World ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 24%

แม้แต่จีนที่ยังคงเผชิญกับความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา หุ้นจีนก็สามารถพลิกฟื้นจากการขาดทุนในปีก่อนหน้า โดยปิดการซื้อขายด้วยผลตอบแทน 20% แม้ว่าดัชนี S&P 500 จะปรับเพิ่มขึ้นถึง 62% นับตั้งแต่ต้นปี 66 แต่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นในปี 68

สำหรับภาวะเศรษฐกิจ ยังคงแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ แม้ในช่วงเวลาของนโยบายการเงินที่เข้มงวด ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในไตรมาสที่ 2 ของปี 68 นี้ และจะคงอัตราดอกเบี้ยไปตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นการปรับนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ทรัมป์ 2.0: โอกาสและความเสี่ยง

การได้รับเลือกตั้งอีกครั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยได้รับการสนับสนุนจากเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา คาดว่าจะสร้างแรงหนุนเพิ่มเติมให้กับเศรษฐกิจ โดยมีนโยบายสำคัญๆ ได้แก่ มาตรการลดภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบ การกำหนดภาษีศุลกากร และการปฏิรูปการเข้าเมือง

พระราชบัญญัติการลดภาษีและการจ้างงาน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "การลดภาษีของทรัมป์" มีแนวโน้มว่าอาจจะได้นำกลับมาใช้ใหม่ในช่วงปลายปี 68 จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของผลประกอบการบริษัทและการลงทุนในสหรัฐฯ นอกจากนี้ การผ่อนคลายกฎระเบียบจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมในภาคพลังงานและการเงิน ทั้งนี้ บางส่วนของพระราชบัญญัติการลดเงินเฟ้อที่ให้เงินอุดหนุนพลังงานหมุนเวียนอาจถูกยกเลิก

การใช้มาตรการกำแพงภาษีศุลกากรซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรัฐบาลทรัมป์สมัยแรกจะขยายวงกว้างขึ้น ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณจัดเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับเม็กซิโกและแคนาดา และเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอีก 10% ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 60% และ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ

การบังคับใช้กำแพงภาษีแบบครอบคลุมนี้ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากไม่สามารถทดแทนการนำเข้าทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค อันเป็นต้นทุนทางการเมือง ดังนั้น การบังคับใช้ขั้นสุดท้ายน่าจะมีความละเอียดอ่อนและทยอยดำเนินการมากกว่า 

มาตรการภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามสำคัญ ในปี 66 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การใช้มาตรการภาษีศุลกากรเพื่อลดการขาดดุลการค้ากับจีนตั้งแต่ปี 61 ยังไม่สามารถลดขาดดุลได้อย่างมีนัยสำคัญ

โอกาสและความเสี่ยง ในยุคทรัมป์ 2.0

สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการสินค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมีมาตรการยกเว้นภาษีหลายประการ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าการขาดดุลการค้าดังกล่าวอาจสูงมากขึ้น หากพิจารณาผลกระทบจากการเบี่ยงเบนการค้าของจีนที่ส่งออกผ่านประเทศอื่นๆ ไปยังสหรัฐฯ เช่น เม็กซิโก และเวียดนาม

จากสถิติที่ผ่านมา ในช่วงที่สหรัฐฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งมักจะส่งผลดีต่อประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเอเชียที่เน้นการผลิต แต่สถานการณ์นี้อาจเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากนโยบาย "อเมริกามาก่อน" ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลให้ภาษีศุลกากรสูงขึ้น และกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ ส่งผลให้ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและมีการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ เช่น จีน เยอรมนี เวียดนาม และเม็กซิโก จะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น

“การกลับมาของทรัมป์และชัยชนะของพรรครีพับลิกันในทั้ง 2 สภา จะยิ่งสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ช่วงปีที่ผ่านมาหุ้นขนาดใหญ่ (mega-caps) ในสหรัฐฯ เป็นตัวหลักที่ผลักดันผลตอบแทนของดัชนีโดยรวม ในปี 68"

ทั้งนี้ นักลงทุนอาจพิจารณาโอกาสลงทุนในหุ้นอื่นๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า เนื่องจากหุ้นเหล่านั้นมีมูลค่าที่ถูกกว่าและมุ่งเน้นตลาดในประเทศมากกว่า โดยมีการปรับประมาณการผลประกอบการในหุ้นที่ไม่ใช่กลุ่ม 'Magnificent Seven' เพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าผลกำไรจะกระจายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จะทำให้หุ้นนอกเหนือจากหุ้นขนาดใหญ่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น เช่น หุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกกฎระเบียบต่างๆ ได้แก่ กลุ่มการเงิน เทคโนโลยี และพลังงาน

นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาคเทคโนโลยี โดยเพิ่มมูลค่าตลาดกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบริษัทชั้นนำ 5 แห่ง ผู้ได้รับประโยชน์อันดับต้นๆ เช่น Nvidia ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการรายได้ทันทีจากการแข่งขันเพื่อฝึกโมเดลต่างๆ ที่ต้องการพลังการคำนวณมหาศาล

อีกทั้งประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าผู้นำในอุตสาหกรรมในที่สุดจะขยายไปยังบริษัทที่สามารถเพิ่มมูลค่าผ่านแอปพลิเคชัน เช่น บริษัทซอฟต์แวร์ เป็นต้น ภาคส่วนที่สำคัญต่อการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพในระยะยาวที่จะมีเห็นยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค เป็นต้น 

ลงตราสารหนี้กระจายความเสี่ยง

สำหรับเศรษฐกิจนอกสหรัฐฯ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับประเทศที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ น้อยลง ในขณะที่จีนยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและความเสี่ยงจากกำแพงภาษี แม้ว่าตลาดมีการปรับตัวจากปัจจัยเหล่านี้ไปบางส่วนแล้ว รัฐบาลจีนยังสามารถผ่อนคลายและกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มการบริโภคในประเทศได้

แต่จนถึงขณะนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนยังคงดำเนินการด้วยความระมัดระวัง นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในจีนควรมุ่งเน้นไปยังภาคอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งมีความผันผวนต่ำ เน้นการบริโภคภายในประเทศ และจ่ายเงินปันผลสูง

แนวโน้มตลาดหุ้นเอเชียยังส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจน แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนจากความตึงเครียดทางการค้าและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ไม่แน่นอน แต่มูลค่าตลาดหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ รายได้ของบริษัทต่างๆยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง

และเมื่อรวมกับความเป็นไปได้ในการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติมของจีนอาจช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง นักลงทุนควรเน้นความคล่องตัวและเชิงรุกในการลงทุนในหุ้นเอเชียและจีนเพื่อคว้าโอกาสและลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอ หุ้นปันผลคุณภาพสูงของเอเชียยังให้รายได้ที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถพิจารณาการกระจายการลงทุนไปเพิ่มเติมในหุ้นอาเซียน ทั้งนี้ ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังคงจำกัด แต่อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในพอร์ตการลงทุน

เนื่องด้วยหลายนโยบายมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการเติบโตอย่างชัดเจน แต่บางนโยบาย เช่น การเนรเทศแรงงานผิดกฎหมายจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสหรัฐฯ และทำให้เงินเฟ้อในภาคบริการสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายเชิงโครงสร้างมักนำมาซึ่งความผันผวน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีที่ 4.6% อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยระยะยาว

การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากหุ้นในขณะที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม อีกทั้งยังคงแนะนำให้จัดสรรการลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากทองคำมีผลการดำเนินงานที่ดีในปี 67 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการเข้าซื้อทองคำจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนอยู่

โดยรวมแล้วฝ่ายวิจัยคาดว่าตลาดจะยังคงมีแรงหนุนให้เติบโตในปี 68 ทั้งนี้ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาของความผันผวนจากความไม่แน่นอนจากนโยบาย แม้ว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นโดยรวมจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่คาดว่าอัตราผลตอบแทนไม่น่าจะสูงเท่ากับสองปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังคาดว่าผลตอบแทนจากหุ้นจะกระจายตัวมากขึ้น และหมายถึงโอกาสในการทำผลตอบแทนที่ดีกว่าให้กับนักลงทุนด้วย