นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 67 นี้ เชื่อว่าจะมีความสดใสมากขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.67 ที่ผ่านมา
โดยคาดว่าจากนี้จะเริ่มเห็น Downside ในกรอบที่จำกัดมากขึ้น เนื่องเริ่มกลับเข้ามาสู่ช่วงไฮซีซันการอุปโภค-บริโภค ซึ่งจะคาบเกี่ยวตั้งแต่ช่วงปลายช่วงไตรมาส 4/67 และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/68 ส่งผลให้คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 4/67 มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 ที่มา
ซึ่งแรงกดดันหลักๆ เป็นผลมาจากำไรสุทธิที่ลดลงของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่เป็นไปตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลง โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเริ่มเห็นการกระตุกขึ้นมาของราคาน้ำมันดิบโลกบ้างแล้ว ทำให้คาดว่าการตั้งสำรองสูงๆ จะไม่เกิดขึ้นเหมือนไตรมาสก่อนอีกแล้ว
ประกอบกับจากกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ที่ประกอบด้วย 14 ประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียม (OPEC) และประเทศนอกกลุ่มสมาชิกอีก 10 ประเทศ มีมติเลื่อนแผนผ่อนคลายข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเดิมมีกำหนดเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 180,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนม.ค. ถูกเปลี่ยนเป็นเดือนเม.ย.แทน
ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 1/68 ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ดีได้ ดังนั้นในไตรมาส 4/68 จึงคลายแรงกดดันจากกำไรสุทธิของกลุ่มพลังงานที่ลดลง และผลประกอบการของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะไม่เข้ามาถ่วงกำไรสทธิโดยรวมแล้ว
นอกจากนี้ มองว่าการจับจ่ายใช้สอยและการอุปโภค-บริโภคในประเทศจะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากการเข้าสู่ช่วงเทศกาลสิ้นปี การเดินทางท่องเที่ยวทั้งกลุ่มคนไทยเองและกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่คาดว่าทั้งปี 67 ยอดนักท่องเที่ยวจะแตะ 35 ล้านคน/ปี ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จาก 11 เดือนแรกที่ยืนระดับ 32-33 ล้านคนแล้ว
ประกอบกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปี 68 ของภาครัฐ คาดจะช่วยการบริโภคให้ดีขึ้นได้ โดยจากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา ส่งผลให้คาดว่าจะส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม (อิงโรงแรมในประเทศเป็นหลัก) กลุ่มค้าปลีก
ในขณะเดียวกันก็มีมุมมองในเชิงบวกต่อกลุ่มหุ้นแบงก์และไฟแนนซ์ ร่วมด้วย แม้ว่าปกติแล้วในไตรมาส 4 ของทุกปีงบแบงก์ภาพรวมจะไม่ดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายและการตั้งสำรองเข้ามา แต่ด้วยนับตั้งแต่ไตรมาส 1 และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3 ของปีนี้กลุ่มแบงก์มีการตั้งสำรองไว้ในระดับที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นแล้วในไตรมาส 4 นี้กลุ่มแบงก์จะไม่มีการตั้งสำรองในระดับที่สูงอีกแล้ว ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสสุดท้ายขงปีนี้กลุ่มแบงก์มีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น เช่นเดียวกันกับกลุ่มไฟแนนซ์ ประกอบกับด้วยราคาหุ้นที่ยังไม่แพงเทียบกับแนวโน้มธุรกิจที่มีการขยายตัวดี จึงนับว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนสะสมในช่วงที่เหลือของปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนี SET Index ไว้ที่แนวรับ 1,440 จุด และแนวต้านที่ระดับ 1,480 จุด ในขณะที่ปี 68 ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยไว้ที่ แนวรับระดับ 1,450 จุด และแนวต้านที่ 1,585 จุด