แนะรัฐสร้างศักยภาพประเทศ ดึงเม็ดเงิน FDI กลับไทย

26 ต.ค. 2567 | 11:31 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ต.ค. 2567 | 11:31 น.

ttb analytic จี้รัฐทบทวนปัญหา FDI อย่างจริงจัง หลังเม็ดเงิน FDI ไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุมุ่งเน้นสิทธิประโยชน์ที่ช่วยเฉพาะฝั่งต้นทุน แต่ยังขาดความเชื่อมั่นการสร้างรายได้กิจการ แนะยกระดับศักยภาพประเทศ เพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุน

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytic ประเมินว่า ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยไม่เหมือนเดิม เนื่องจากภาครัฐมุ่งเน้นการให้สิทธิประโยชน์ ซึ่งเป็นประโยชน์ฝั่งต้นทุนเป็นสำคัญ

แต่ยังขาดการสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างรายได้ของกิจการ ภาครัฐต้องมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของประเทศและยกระดับกำลังซื้อ เพื่อสร้างแต้มต่อให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น

แนะรัฐสร้างศักยภาพประเทศ ดึงเม็ดเงิน FDI กลับไทย

ในอดีตไทยนับเป็นแหล่งเป้าหมายสำคัญของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ:  FDI ที่เข้ามาขยายการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) โดยช่วงปี 2538-2547 ไทยมีเงินลงทุน FDI สูงเป็นสัดส่วนถึง 35.3% ของ FDI ที่เข้า ASEAN (ไม่รวมสิงคโปร์)

อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า นับจากปี 2548 เม็ดเงิน FDI ของไทยเพิ่มขึ้นช้าลงเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN ด้วยกัน ทำให้เม็ดเงิน FDI ของไทยมีสัดส่วนเพียง 20.6% ในช่วงปี 2548-2557 และลดลงต่อเนื่องเหลือราว 10.4% สำหรับปี 2558-2566 ส่งผลให้ไทยมีแรงส่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สูงนักเพียง 1.8% ต่อปี

ประเด็นที่น่ากังวล ในปี 2566 สัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 4.6% จนแทบจะแสดงให้เห็นถึงการที่ไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้

ttb analytics จึงมองความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยไม่ได้เหมือนเดิม จากข้อเสียเปรียบในมิติต่างๆคือ

1.มิติเรื่องต้นทุน (Cost Challenges) ปัจจัยเรื่องแรงงานเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งในการเลือกแหล่งลงทุนก่อตั้งกิจการ โดยต้นทุนค่าแรงจะถูกกำหนดจากนโยบายของภาครัฐผ่านอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งที่ผ่านมา ไทยมีการขยับค่าแรงขั้นต่ำหลายระลอก

เช่น ในช่วงปี 2556 ที่ขยับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนในปัจจุบันอยู่ที่ 330-370 บาทต่อวัน ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 173-250 บาทต่อวัน หรือฟิลิปปินส์มีค่าแรงขั้นต่ำราว 229 บาทต่อวัน

ผลของระดับค่าแรงที่สูงกว่าย่อมกระทบต่อต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมโดยเฉพาะที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก (Labor Intensive)

รวมถึงการลดต้นทุนผ่านสิทธิประโยชน์ในการลงทุนผ่านนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ พบว่า ในแต่ละประเทศให้สิทธิประโยชน์ที่ใกล้เคียงกัน ไทย จึงอาจไม่สามารถสร้างข้อได้เปรียบหรืออาจส่งผลถึงความเสียเปรียบในเชิงเปรียบเทียบ 

เนื่องจากการลงทุนเพื่อก่อตั้งกิจการเป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซึ่งต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงต่อเมื่อมีปริมาณการขายหรือผลิตได้มากเพียงพอ (Economies of Scale) รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษีก็ย่อมที่จะได้มากเมื่อธุรกิจเกิดกำไรจำนวนมาก

"ความได้เปรียบในเรื่องนี้ของไทยยังคงถูกจำกัดเนื่องจากปัจจัยด้านศักยภาพในการสร้างรายได้ของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ"

2.การสร้างรายได้ (Revenue Generation Opportunities) ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลงทุน เนื่องจากทำเลที่มีศักยภาพมักมาพร้อมกับต้นทุนที่ราคาแพง ดังนั้น การเลือกพื้นที่ตั้งกิจการอาจต้องตอบโจทย์ความสามารถในการสร้างรายได้ทั้งจากตลาดในประเทศและการส่งออก

พบว่า ไทยมีข้อเสียเปรียบประเทศคู่แข่งใน ASEAN เช่น กำลังซื้อของคนในประเทศสะท้อนผ่าน GDP Per Capita ของไทยในรอบ 10 ปี (2556-2566)เพิ่มขึ้นเพียง 15.3%

ขณะที่ เวียดนาม อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย กลับมีรายได้ต่อหัวเพิ่มถึง 64%, 37.6%, และ 30.2% ตามลำดับ นอกจากนี้ภาคการส่งออกประเทศในกลุ่ม ASEAN มักไม่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบมากนัก ในเรื่องสถานที่ตั้งที่ได้เปรียบในพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิก

แต่ไทยมีข้อเสียเปรียบค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับเขตเศรษฐกิจยุโรป (EU) ที่มีโอกาสในการเปิดพื้นที่การค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าไทยถึงกว่า 27 ประเทศ

นอกจากนั้น การลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยยังมีปัจจัยท้าทายอื่นที่ต้องเผชิญ เช่น ความพร้อมด้านกำลังแรงงานในระยะ 10 ปีข้างหน้า ประชากรวัยแรงงานของไทยจะลดลง 2.7 ล้านคน ขณะที่ิอินโดนีเซีย เวียดนามและมาเลเซีย กลับมีประชากรวัยแรงงานเพิ่มขึ้น 14.9 ล้านคน 4.9 ล้านคน และ 1.9 ล้านคน ตามลำดับ

ประกอบกับคุณภาพแรงงานในอนาคตต้องพร้อมรับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของ เทคโนโลยีดิจิทัล การผลิตขั้นสูง และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ก็พบว่า แรงงานไทยมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาทักษะดังกล่าวเพื่อเป็นแรงงานทักษะในอนาคต

สะท้อนผ่าน PISA Score 2565 ที่ไทยอยู่อันดับที่ 52 ตามหลังเวียดนาม (28) มาเลเซีย (49) สะท้อนถึงประสิทธิภาพในระบบการศึกษาไทยที่ยังตามหลังประเทศอื่น และจะส่งผลระยะยาวในการยกระดับแรงงานไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงได้อย่างจำกัด 

ดังนั้น บนข้อเสียเปรียบหลายประเด็นในการดึงดูดเม็ดเงิน FDI จึงเป็นโจทย์ที่ทางภาครัฐอาจต้องทบทวนถึงปัญหาอย่างจริงจัง

ทาง ttb analytics มองว่า ปัญหาหลักอาจเกิดจากที่ไทยพยายามมุ่งเน้นเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดกลุ่มทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นเพียงมิติฝั่งต้นทุน แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสการสร้างรายได้ของกิจการที่เข้ามาลงทุน

ดังเช่น เวียดนามที่มีเป้าหมายจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมภายในปี 2573 หรือ อินโดนีเซียประกาศจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูงในอีก 20 ปีข้างหน้า เป็นต้น

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,039 วันที่  27 - 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567