6 ปีคลินิกแก้หนี้ SAM ช่วยลูกหนี้เฉียด 5 หมื่นราย

27 พ.ย. 2566 | 15:20 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ย. 2566 | 15:55 น.

SAM เดินหน้าแก้หนี้ครัวเรือน ผ่านโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM หลัง 6 ปี ช่วยคนที่เป็นหนี้เสียได้เกือบ 5 หมื่นราย มูลหนี้เฉียด 1 หมื่นล้านบาท คาดสิ้นปีนี้ ลูกค้าเข้าร่วมโครงการตามเป้า 50,000 บัญชี พร้อมหาสถาบันการเงินรายใหม่ๆ เข้าร่วม

สถานการณ์ “หนี้ครัวเรือนไทย” ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับจีดีพีที่มีสัดส่วนสูงกว่า 90% ยังคงเป็นปัญหาและปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงต่างพยายามหาช่องทางเพื่อปรับลดตัวเลขหนี้ครัวเรือนลงมาให้ได้มากและเร็วที่สุด โดยระดับที่แสดงถึงความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ไม่ควรเกิน 80% ต่อจีดีพี 

บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บบส.) หรือ SAM หนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้มีส่วนช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศผ่าน “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ล่าสุดธปท.ได้ปรับเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1  พฤษภาคม 2566 ลูกค้าที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันและค้างชำระเกินกว่า 120 วัน สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ซึ่งจะช่วยลูกค้าที่มีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาหนี้เสียได้ทันท่วงที 

นายอุดม พลสมบัตินันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานล่าสุดเดือนตุลาคม 2566 พบว่า มีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สะสมรวม 49,213 ราย คิดเป็น 140,004 บัญชี มีภาระหนี้รวม 9,600 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะปี 2566 มีผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการ 14,813 ราย หรือ 37,357 บัญชี โดยมีหนี้เงินต้นคงเหลือเฉลี่ย 195,500 บาทต่อราย  จำนวนบัญชีที่เป็นหนี้เฉลี่ย 2.8 บัญชีต่อราย ค่างวดต่อรายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2,400 บาทต่อเดือน

นายอุดม พลสมบัตินันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท

“นับว่าโครงการได้มีโอกาสช่วยเหลือคนที่เป็นหนี้เสียให้กลับมาเริ่มต้นแก้ไขปัญหาหนี้อีกครั้งในจำนวนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับยอดสิ้นปี 2565 ที่มีจำนวน 30,400 ราย และอยู่ในระดับที่น่าพอใจ คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการได้ตามเป้าหมายที่ 50,000 บัญชี แม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้าก็ตาม”นายอุดมกล่าว

อย่างไรก็ตาม ปีหน้ามีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์จากทุกภาคส่วน เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ทราบว่า ปัญหาหนี้เสียสารพัดบัตร ครอบคลุมเกือบทุกสถานะ ทั้งก่อนถูกฟ้อง, ระหว่างถูกฟ้อง (มีนัดขึ้นศาล) และหลังพิพากษาที่ยังไม่มีข้อยุติในการทำสัญญายอมฯ หรือปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ สามารถแก้ไขผ่านโครงการคลินิกแก้หนี้ได้อีก 1 ช่องทาง เพื่อเป็นทางเลือกและทางรอดสำหรับผู้ที่ตั้งใจในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียที่เกิดขึ้น

"ต้องยอมรับว่า ตัวโครงการฯ เป็นเพียงการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาหนี้สินได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ ตัวลูกค้าเองก็ต้องช่วยเหลือตนเองควบคู่ไปด้วย โดยใช้วิธีการ “ชนะหนี้ ปรับหนี้เสีย ให้เป็นหนี้ดี” โดยเริ่มตั้งแต่การยอมรับความจริงว่า มีปัญหาเรื่องหนี้ สำรวจภาระหนี้ทั้งหมด ปรับพฤติกรรม ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย"นายอุดมกล่าว 

ที่สำคัญ การเพิ่มรายได้ด้วยการหารายได้เสริมคือ การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง หรือกรณีที่จำเป็นและมีสินทรัพย์ที่สามารถขายได้ เพื่อแก้ปัญหาหนี้สิน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ ก็ขอให้รีบไปติดต่อเจ้าหนี้โดยเร็ว อย่าปล่อยไว้นาน ที่สำคัญ อย่าก่อหนี้ใหม่เพื่อไปแก้ปัญหาหนี้เก่า” เพราะอาจจะเข้าไปติดกับดักหนี้ที่วนไม่รู้จบได้

สำหรับในปีหน้า ความคาดหวังส่วนตัวคือ มีสถาบันการเงินรายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือ Non Bank เข้าร่วมในโครงการคลินิกแก้หนี้เพิ่มมากขึ้นจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 32 แห่ง (Bank 13 แห่ง Non Bank 19 แห่ง) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินในการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสียภาคประชาชนเฉพาะในส่วนของหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ที่ยังคงมีแนวโน้มที่สูงอยู่ ได้มีโอกาสร่วมมือกันในการแก้ไขได้ครบทุกแห่ง

โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM

อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะยาวแล้ว ในการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เป็นวาระแห่งชาตินั้น จะต้องมีการวางแนวทางในการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมก็ตาม ซึ่งเป้าหมายที่โครงการคลินิกแก้หนี้ได้รับมีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละปี ถือเป็นสิ่งท้าทายและตอกย้ำเจตนารมณ์ของโครงการฯที่มุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกค้าให้มากที่สุดด้วยการให้โอกาสในการแก้ไขปัญหาหนี้ใหม่อีกครั้งจนปลดหนี้ได้สำเร็จจริงตามความสามารถ

“ต้องขอขอบคุณสำหรับความร่วมมืออันดีจากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ทุกแห่งที่ได้เข้าร่วมอยู่ในโครงการคลินิกแก้หนี้ตลอดมา ทั้งยังร่วมกันกำหนดแนวทางต่างๆ ของโครงการคลินิกแก้หนี้ ที่เอื้อต่อการแก้ไขหนี้ เช่น การชำระหนี้ที่เงินต้น ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ (3% - 5% ต่อปี) ค่างวดผ่อนต่อเดือนเบาๆ และให้ระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ได้ยาว สูงสุด 10 ปี (ตามแต่เงื่อนไขที่กำหนด) พร้อมยกดอกเบี้ยค้างเดิมที่มีอยู่ก่อนเข้าร่วมโครงการเมื่อลูกค้าสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด ฅนับเป็นการยื่นโอกาสดีๆให้กับลูกค้าที่เป็นหนี้เสีย ให้มีโอกาสกลับมาเริ่มแก้ไขปัญหาใหม่ได้อีกครั้ง” นายอุดมกล่าวทิ้งท้าย

“โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-19.00 น. ที่ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน (โซนลิฟท์แก้ว) ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ (BTS สถานี รัชโยธิน) หรือสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เว็บไซต์คลินิกแก้หนี้  

สำหรับคุณสมบัติผู้สนใจสมัครเข้าร่วม “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” นั้น

  • ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ มีอายุไม่เกิน 70 ปี
  • มียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท
  • เป็นหนี้เสียค้างชำระเกินกว่า 120 วัน

ทั้งนี้ เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาผลการสมัคร  ขอให้ลูกค้าเตรียมเอกสารสำคัญประกอบการสมัคร ดังนี้

  1. เอกสารรายงานเครดิตบูโร 
  2. สำเนาบัตรประชาชน
  3. สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 1 เดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (กรณีผู้มีรายได้ประจำ) / รายการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 3 เดือน  หรือหนังสือรับรองรายได้ (กรณีอาชีพอิสระ)  

ลูกค้าที่เป็นหนี้เสียรายใหม่และมีคุณสมบัติผ่านหลักเกณฑ์เข้าร่วม “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  จะได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพียง 3-5% และระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 10 ปี โดยมีทางเลือกการปรับโครงสร้างหนี้ เป็น 3 ทางเลือก คือ

  1. ผ่อนชำระไม่เกิน 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3%ต่อปี  
  2. ผ่อนชำระนานกว่า 4 ปี ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 4%ต่อปี
  3. ผ่อนชำระนานกว่า 7 ปี ไม่เกิน 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5%ต่อปี 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,943 วันที่ 26 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566