ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 407.51 จุด รับแรงช้อนซื้อ-จับตาเงินเฟ้อสหรัฐ

08 ส.ค. 2566 | 06:59 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ส.ค. 2566 | 07:23 น.

ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในวันจันทร์ (7 ส.ค.) ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนจับตาเงินเฟ้อของสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,473.13 จุด เพิ่มขึ้น 407.51 จุด หรือ +1.16%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,518.44 จุด เพิ่มขึ้น 40.41 จุด หรือ +0.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,994.40 จุด เพิ่มขึ้น 85.16 จุด หรือ +0.61%

นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 1.1% ส่วนดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ดิ่งลง 2.9% และ 2.3% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีทั้งสองปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบรายสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนมี.ค. โดยปัจจัยลบส่วนใหญ่มาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนของสหรัฐ

 

คริส แซคคาเรลลี นักวิเคราะห์จากบริษัท Independent Advisor Alliance กล่าวว่า การที่นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มีแรงซื้อส่งเข้าหนุนตลาดอย่างคึกคักเมื่อคืนนี้ โดยข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า 85% ของบริษัทในดัชนี S&P500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้วนั้น มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

หุ้นส่วนใหญ่ที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร พุ่งขึ้น 1.9% และดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.4%

หุ้นบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ พุ่งขึ้น 3.4% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานรายไตรมาสพุ่งขึ้นทะลุระดับ 1 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก

 

หุ้นไบออนเทค (BioNTech) และหุ้นโมเดอร์นา ซึ่งเป็นสองบริษัทผลิตวัคซีนรายใหญ่ ดิ่งลง 7.5% และ 6.5% ตามลำดับ โดยราคาหุ้นไบออนเทคได้รับแรงกดดันจากการที่บริษัทปรับลดงบประมาณด้านการพัฒนายา หลังจากผลประกอบการรายไตรมาสได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์เวชภัณฑ์ป้องกันโรคโควิด-19 ขณะที่ราคาหุ้นโมเดอร์นาร่วงลง หลังจากนักวิเคราะห์ของวาณิชธนกิจ Leerink ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นของบริษัท

นักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนมิ.ย. และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 4.8% ในเดือนมิ.ย.