วิกฤตแบงก์ล้มฉุดยอดเงินฝากธนาคารสหรัฐลดฮวบหนักสุดในรอบปี

26 มี.ค. 2566 | 05:29 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มี.ค. 2566 | 06:43 น.

ยอดเงินฝากของธนาคารสหรัฐลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีโจ ไบเดน ล่าสุดลดฮวบลงเช่นกัน จากผลงานที่ไม่เข้าตาทั้งในด้านเศรษฐกิจ และนโยบายต่างประเทศ

ยอดเงินฝาก ของ ธนาคารสหรัฐ ลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่วิกฤตของธนาคารหลายแห่งทำให้ ตลาดการเงิน ปั่นป่วนทั่วโลก โดยยอดเงินฝากที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการร่วงลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ของยอดเงินฝากในธนาคารขนาดเล็ก

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยข้อมูลเมื่อวันศุกร์ (24 มี.ค.) บ่งชี้ว่า เงินฝากธนาคารในสหรัฐ ลดลง 98,400 ล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 17.5 ล้านล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 15 มี.ค. โดยยอดเงินฝากที่ธนาคารขนาดเล็กนั้นร่วงลง 1.20 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดฝากของธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 25 แห่งเพิ่มขึ้นเกือบ 67,000 ล้านดอลลาร์

ยอดเงินฝากที่ธนาคารขนาดเล็กนั้นร่วงลง 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนการปล่อยกู้โดยรวมของธนาคารสหรัฐ เพิ่มขึ้น 63,400 ล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 12.2 ล้านล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 15 มี.ค.

ทั้งนี้ ธนาคารในประเทศรายใหญ่ที่สุด 25 แห่งของสหรัฐปล่อยกู้เป็นสัดส่วนราว 3 ใน 5 ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กเป็นผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ให้กับบางภาคธุรกิจที่สำคัญ อาทิ ภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์

ความมั่นใจในตัวผู้นำลดฮวบลงเช่นกัน

แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จะออกมายืนยันว่า วิกฤตธนาคารสหรัฐจะไม่ลุกลามเนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลได้ออกมาจัดการกับธนาคารที่เกิดปัญหาอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ยังไม่ได้เรียกความมั่นใจของประชาชนให้กลับมามากนัก สะท้อนจากผลสำรวจคะแนนนิยมของชาวอเมริกันที่มีต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ล่าสุด พบว่าลดลงเหลือเพียง 38 % ซึ่งเกือบแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีไบเดนลดลงอย่างมาก

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ( 23 มี.ค.) ศูนย์วิจัยแอสโซซิเอเทด เพรส-นอร์ก เซนเตอร์ ฟอร์ พับลิก แอฟแฟร์ รีเสิร์ช (Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research) เปิดเผยผลสำรวจคะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ครั้งใหม่ ซึ่งดำเนินการสำรวจตั้งแต่วันที่ 16-20 มีนาคม 2566

ผลสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันผู้ตอบแบบสอบถามการสำรวจ 61 % ไม่พอใจกับผลงานของไบเดนในการจัดการกับปัญหาสำคัญๆในประเทศ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจ และนโยบายต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจยังพบว่า ชาวอเมริกันผู้ตอบแบบสอบถาม มีเพียง 38 % ที่ตอบว่า "พึงพอใจ" กับผลงานของไบเดน สัดส่วนดังกล่าวถือว่าเกือบแตะระดับต่ำสุด นับตั้งแต่ที่ไบเดน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ และลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์และมกราคม ซึ่งอยู่ที่ 45 % และ 41 % ตามลำดับ

ผลสำรวจระบุว่า มีเพียง 31 %  หรือน้อยกว่า 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ "เห็นด้วย" กับวิธีการจัดการด้านเศรษฐกิจของไบเดน และ 39 % ของชาวอเมริกันเห็นด้วยกับการดำเนินการด้านนโยบายต่างประเทศของไบเดน ซึ่งนับว่าดีขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

ส่วนผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นสมาชิกภายในพรรคเดโมแครต(ซึ่งเป็นพรรคของปธน.ไบเดน) มี 76 % ที่เห็นด้วยกับงานโดยรวมที่ไบเดนกำลังทำอยู่  และมีเพียง 63 % ที่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการเศรษฐกิจของเขา

ขณะที่ สมาชิกพรรครีพับลิกัน มีเพียง 4 % เท่านั้นที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไบเดนกำลังทำอยู่ในฐานะประธานาธิบดี และมีเพียง 3 % เท่านั้นเห็นด้วยกับวิธีการจัดการเศรษฐกิจของเขา

ทั้งนี้ ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปธน.ไบเดนตั้งเป้าชูแผนนโยบายเศรษฐกิจที่จะช่วยผลักดันให้เขาได้รับความนิยมในช่วงการเป็นผู้นำสหรัฐในสมัยแรก และเตรียมพร้อมเข้าสู่สนามการเลือกตั้งอีกครั้งในปีหน้า (2567)

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความเห็นของประชาชนล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่า ปธน.ไบเดน อาจต้องทำงานอีกมากเพื่อให้ชาวอเมริกันพอใจกับผลงานของเขาในสมัยแรกให้ได้

ทั้งนี้ คะแนนนิยมต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของปธน.ไบเดนที่เคยทำไว้นั้น อยู่ที่ระดับ 36 % ซึ่งเป็นผลการสำรวจเมื่อเดือนกรกฏาคมปี 2565 ข่าวระบุว่า คะแนนนิยมที่ลดต่ำสุดในครั้งนั้นเป็นผลพวงมาจากการที่ชาวอเมริกันไม่พอใจกับภาวะทางเศรษฐกิจ เนื่องจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวเพิ่มสูงขึ้น