คลังชงครม.สัปดาห์หน้า เพิ่มเงินสมทบสมาชิกกอช.

13 ม.ค. 2566 | 10:05 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ม.ค. 2566 | 17:05 น.

คลัง​จ่อชง​​ครม.​สัปดาหหน้า เพิ่มเงินสมทบสมาชิก​กอช.​ สูงสุด 1,800 บาท/ปี พร้อมปรับเกณฑ์ออมเงินได้สูงสุด 3 หมื่นบาท/ปี หนุนอาชีพอิสระเตรียมรองรับวัยเกษียณ

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า​ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) วันที่ 17​ ม.ค.นี้​ กระทรวงการคลังจะเสนอให้ครม. พิจารณาให้รัฐบาลเพิ่มเงินสมทบสำหรับสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สูงสุดที่ 1,800 บาท​ต่อปี​ จากปัจจุบันให้สมทบสุงสุด​ 1,200 บาทต่อปี​ เพื่อดึงดูดแรงงานนอกระบบที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม​ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ​ (กบข.​) ให้เข้ามาออมเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณกันมากขึ้น

 

นอกจากนี้​ กรณีที่สมาชิก​ กอช. ต้องการออมเพิ่มด้วยตัวเอง​ หรือออมเพิ่มมากกว่าที่รัฐกำหนดเป็นขั้นต่ำ​ ก็สามารถออมเพิ่มเติมได้สูงสุดไม่เกิน ​30,000 บาทต่อปี​ จากปัจจุบันหลักเกณฑ์ของ กอช. กำหนดให้สมาชิกต้องออมเงินขั้นต่ำ50 บาทต่อครั้ง และออมสูงสุดทั้งปีไม่เกิน 13,200 บาท โดยการออมแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกเดือน

 

"การกำหนดเพดานการออมต่อปีไม่ให้เกินกว่าที่กำหนดนั้น​ เนื่องจาก​ กอช.เป็นกองทุนเดียวที่รับประกันผลตอบแทนการลงทุนขั้นต่ำ​ว่าต้องไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยของ 5 ธนาคารใหญ่​ ดังนั้น กรณีผลตอบแทนของกอช. ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก​ รัฐบาลจะต้องจ่ายชดเชยให้แก่สมาชิก​ ถ้าไม่กำหนดเพดาน รัฐบาลอาจต้องจ่ายชดเชยในอัตราสูง​ขึ้นในอนาคต" 

 

ทั้งนี้ หากสมาชิกกอช. ออมเงินสูงสุดตามเพดานใหม่ที่เสนอว่าให้ออมสูงสุดได้ 3 หมื่นบาทต่อปีนั้น หากสมาชิกออมในระดับนี้ ตั้งแต่อายุ 18 ปี จนถึง 60 ปี จะมีเงินสะสมราว 1.5 ล้านบาท และจะได้รับเงินบำนาญตลอดชีวิต เดือนละ7,500 บาท

 

โดยการจ่ายเงินสมทบให้สมาชิกโดยรัฐบาลนั้น จะจ่ายตามช่วงอายุ กล่าวคือ 

 

  • หากอายุ 15 -30 ปี จ่ายสมทบให้ 50 % ของเงินที่สมาชิกออมเข้ามา แต่สูงสุดไม่เกิน 600 บาท/ปี 

 

  • อายุมากกว่า 30 ปีถึง 50 ปี รัฐสมทบให้ 80 % สูงสุดไม่เกิน 960 บาท/ปี 

 

  • อายุมากกว่า 50 ปีถึง 60 ปี รัฐสมทบให้ 100 % ของเงินออม แต่สูงสุดไม่เกิน 1,200บาท

 

ส่วนกรณีข้อเสนอให้ทุกคนสามารถสมัครเป็นสมาชิกกอช.ได้นั้น​ ไม่สามารถทำได้​ เนื่องจากจะทำให้แรงงานในระบบ​เช่น​แรงงานที่เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม​ ซึ่งได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลอยู่แล้ว​ ก็จะทำให้ได้รับผลประโยชน์จากรัฐซ้ำซ้อน