TPIPL โชวผลงาน 9 เดือน ทำกำไรโตพุ่ง 87.53%

26 พ.ย. 2564 | 17:53 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ย. 2564 | 00:53 น.

บมจ.ทีพีไอ โพลีน ประกาศกำไรงวด 9 เดือนทะลุ 5,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.53% จากการลดต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์ การเพิ่มส่วนต่างของราคาเม็ดพลาสติก และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงไฟฟ้า เดินหน้าลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) หรือ TPIPL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 พบว่าบริษัทและบริษัทย่อยบันทึกรายได้รวม 9,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.15% จาก 8,926 ล้านบาทในไตรมาส 3/2563 โดยมีรายได้จากการขาย 9,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.45% จาก 8,389 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 โดยในไตรมาส 3/2564 บันทึกกำไรจำนวน 1,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.38% จาก จำนวน 1,024 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2563

 

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อยบันทึกรายได้รวม 30,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.23% จาก จำนวน 27,132 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนของปี 2563 และบันทึกกำไรสุทธิ  5,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.53% จาก จำนวน 2,727 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนของปี 2563

ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)  8,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการลดต้นทุนการผลิตปูนซิเมนต์ โดยใช้เชื้อเพลิง RDF เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหินบางส่วน การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างของราคาเม็ดพลาสติกในธุรกิจปิโตรเคมี และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงไฟฟ้า ตอกย้ำสถานะความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดปูนซิเมนต์ในประเทศไทย

 

นอกจากนี้ บริษัทได้มุ่งเน้นการพัฒนา ESG ภายใต้นโยบาย BCG ตามมาตรฐานนโยบายใหม่ของประเทศที่พัฒนาแล้ว (New Paradigm Shift) โดยบริษัทถือเป็นโรงปูนซิเมนต์แห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 6.5 ล้านตัน CO2 ต่อปี  ภายในปี 2565

ขณะที่ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยก็สามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ 7.5 ล้านตันต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว (Consolidation) สำหรับกลุ่มบริษัท ทีพีไอ จะส่งผลให้กลุ่มทีพีไอโพลีนเป็นโรงปูนแห่งแรกในโลกนี้ที่เป็น Green Cement Producer สามารถทำเป้า Net Zero Target ได้ ตามนโยบายรัฐบาลที่ท่านนายกฯได้แถลงต่อสหประชาชาติใน COP26 ที่กรุง Glasgow สก๊อตแลนด์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

ทั้งนี้บริษัทคาดว่า ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปี 2564 จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 33-34 ล้านตัน จากแนวโน้มความต้องการปูนซิเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จในประเทศ คาดว่า จะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีโปรเจ็กต์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขับเคลื่อนการลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาท ทั้งทางบก ทางราง และทางอากาศ ทั้งโครงมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงรังสิต-บางประอิน ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า การก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ