ข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจ หลักและเป็นสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของไทย สร้างรายได้จากการส่งออกในแต่ละปีเป็นมูลค่ามหาศาล ปี 2567 ล่าสุดไทยส่งออกข้าวมูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท และจากข้อมูลสำมะโนการเกษตร ในปี 2566 พบว่าการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรของไทยยังคงใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวในสัดส่วนมากที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยทุกรัฐบาลต่างให้ความสำคัญในการลดทุนต้นการทำนา และให้การช่วยเหลือผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ถูกมองเป็นนโยบายประชานิยม ทำให้เกษตรไทยไม่เข้มแข็ง และยังพัฒนาไปได้ไม่ไกล
ล่าสุดในปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ผลักดัน “โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง” โดยจะช่วยค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งและชาวนาจ่ายอีกครึ่งหนึ่งในการซื้อปุ๋ยเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ใช้งบประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท (คาดการณ์ปริมาณใช้ปุ๋ยเคมีในโครงการ 3 ล้านตัน) ครั้นในเวลาต่อมารัฐบาลได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) (3 ธ.ค. 67) ใหม่ โดยเห็นชอบโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 หรือ "เงินชาวนา ไร่ละ 1,000" เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท จำนวน 4.61 ล้านครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 38,578.22 ล้านบาทแทนโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ตามความต้องการของชาวนา
แหล่งข่าวจากวงการค้าปุ๋ยเคมี เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากโครงการปุ๋ยคนละครึ่งที่ล้มไปแล้วนั้น มีผลทำให้ผู้ค้านำเข้าปุ๋ยเพื่อเตรียมเข้าร่วมโครงการฯ มีสต๊อกสินค้าจำนวนมาก ทั้งเพื่อเข้าขายในโครงการ (หากโครงการเกิด) และขายปกติให้กับลูกค้าเกษตรกรทั่วไป ส่งผลทำให้ปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมี ในปี 2567 กว่า 6.1 ล้านตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ ณ เวลานี้ผู้ค้าแต่ละบริษัทต่างอัดแคมเปญหรือจัดโปรโมชั่นเพื่อจูงใจเกษตรกรในการซื้อสินค้ามากขึ้น เป็นผลดีกับเกษตรกรที่จะมีการเพาะปลูกในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ดีจุดอ่อนของนโยบาย หรือมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ผ่าน แม้ว่าจะมีการจ่ายเงินตรงเข้าบัญชีให้กับเกษตรกรแล้ว ยังมีปัญหาตามมาอีก โดยเวลานี้ราคาข้าวเปลือกในประเทศ ตกตํ่า หลังอินเดียกลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวอีกครั้ง ทำให้ซัพพลายข้าวในตลาดโลกมีมาก ยังผลให้ผู้ส่งออกข้าวของไทยขายข้าวได้ในราคาและในปริมาณที่ลดลง
นอกจากนี้เกษตรกรยังเผชิญกับความผันผวนของสภาพอากาศทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง ส่งผลให้เกษตรกรออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือในการเยียวยาจากราคาข้าวเปลือกตกตํ่าในรอบนาปรัง (รัฐบาลจ่ายให้ไร่ละ 1,000 ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน วงเงิน 2,800 ล้านบาท) ดังนั้นหากรัฐบาลจะแก้ไขปัญหาในเรื่องการลดต้นทุนหรือเรื่องราคา ก็จะต้องเล็งไปที่เป้าหมายนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้เงินเยียวยาเกษตรกรโดยตรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่ได้บังคับว่าให้นำเงินไปซื้อปัจจัยการผลิต
ด้าน นางสาววรัญญา บุญวิวัฒน์ นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย เผยว่า สถานการณ์ในช่วงนี้ใกล้ฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปี และพืชเกษตรอื่น ๆ เพื่อรับกับฤดูฝนที่ใกล้เข้ามา ทั้งนี้ทางสมาคมมีความเป็นห่วงเกษตรกรที่ซื้อปุ๋ยเคมีจากรถเร่ ที่กำลังระบาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ซึ่งที่มาของสถานการณ์ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดจากบริษัทที่เป็นผู้ผลิตปุ๋ยเคมีสั่งกระสอบจากผู้ผลิตถุงปุ๋ย ซึ่งในกรณีที่ปั๊มหรือพิมพ์ ไม่ผ่านคุณภาพมาตรฐาน หรือตัวอักษรเลื่อน ก็จะตีกลับไปยังโรงงานผู้ผลิตกระสอบหรือถุงปุ๋ย
เปิดช่องให้โรงงานผลิตถุง/กระสอบปุ๋ยบางราย นำบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ผ่านคิวซี ไปขายให้กับร้านค้าปุ๋ย และร้านค้าปุ๋ยบางรายก็จะขายบรรจุภัณฑ์เหล่านี้อีกต่อหนึ่งไปให้กับกลุ่มมิจฉาชีพที่ไปซื้อแม่ปุ๋ยจากร้านค้า แล้วแอบผสมใส่กระสอบปุ๋ยในแบรนด์ต่างๆ ที่ถูกตีกลับจากบริษัทผู้ผลิตปุ๋ยเคมี แล้วนำปุ๋ยไปขายตรงให้กับเกษตรกร
“ผู้ค้าเหล่านี้จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้า รวมถึงการให้สินเชื่อและให้ผ่อนจ่ายภายหลัง พร้อมมีของแจกของแถม เช่น พัดลม หม้อหุงข้าว เตารีด เครื่องเล่นซีดีและโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น เพื่อดึงดูดใจลูกค้าหากซื้อปริมาณมากตามเป้าที่กำหนดไว้ เช่น ซื้อปุ๋ย 1 ตัน แถมทีวี 1 เครื่อง เป็นต้น"
นางสาววรัญญา กล่าวอีกว่า ปุ๋ยเหล่านี้เมื่อเกษตรกรนำไปใช้แล้วจะไม่ได้ผลในการเพิ่มผลผลิต ซึ่งหากส่งไปให้สารวัตรเกษตรของกรมวิชาการเกษตรตรวจสอบ ก็จะเข้าข่ายปุ๋ยปลอม ทำให้บริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์เสียชื่อเสียงไปด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบและจับกุมเพียงแค่รายเดียว มีกระทำการมากกว่า 20 แบรนด์/ยี่ห้อ ซึ่งมีทั้งที่บรรจุใส่กระสอบแล้วและยังไม่ได้บรรจุ ดังนั้นอยากจะเตือนภัยเกษตรกร ให้ไปซื้อปัจจัยการผลิตจากร้านค้าที่มีใบอนุญาตหรือมีไว้เพื่อการขายปุ๋ยเคมี และการซื้อปุ๋ยทุกครั้งต้องขอใบเสร็จ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งไม่ควรนำกระสอบปุ๋ยหรือภาชนะบรรจุปุ๋ยที่ใช้แล้วมาขาย เพราะอาจมีผู้นำไปบรรจุปุ๋ยเคมีปลอมมาขายต่อ หากเป็นไปได้ควรมีการรวมกลุ่มกันสั่งซื้อปุ๋ยครั้งละจำนวนมากๆ และให้สังเกตว่า ปุ๋ยปลอมจะมีราคาถูก และมียี่ห้อใหม่ๆ เป็นต้น จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,080 วันที่ 20 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2568