นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” จากปัญหา PM2.5.ภาครัฐมีการบังคับใช้กฎหมายห้ามไม่ให้ชาวนาเผาฟางข้าว ซึ่งมีผลต่อการบริหารจัดการแปลงนาหลังเก็บเกี่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลังเก็บเกี่ยวขาวนาต้องรีบกำจัดต่อชังและฟางข้าวจำนวนมากออกจากแปลงนาเพื่อเตรียมทำนารอบถัดไป โดยเฉพาะในบางพื้นที่จำเป็นต้องแข่งกับเวลาเพื่อให้ทันช่วงฤดูทำนาเพราะน้ำมีจำกัด และเนื่องจากชาวนาในพื้นที่ต่างเก็บเกี่ยวพร้อมกัน ทำให้มีฟางข้าวมีจำนวนมากเกินกว่าจำนวนรถอัดฟางจะขนออกได้ทัน
ทำให้จากปกติฟางข้าวข้าวขายได้ไร่ละ 100-120 บาท ปัจจุบันกลับขายไม่ได้ และอาจต้องแจกฟรี หรือถึงขั้นต้องจ้างรถมาขนออกจากนา ทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มตามมา โดยชาวนาต่างจำเป็นต้องหาวิธีจัดการรูปแบบที่ต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งการห้ามไม่ให้เผาตอชังข้าว ส่งผลให้ชาวนามีต้นทุนสูงขึ้นกว่าปกติประมาณ 500 บาทต่อไร่ แม้การจัดการฟางข้าวจะมีหลายวิธีให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ และฟางข้าวก็มีประโยชนในเรื่องของปุยช่วยบำรุงดินและมีมูลค่า แต่วิธีการจัดการแบบไม่เผาก็ต้องใช้เวลานาน มีต้นทุนและมีข้อจำกัด ดังนี้
1.วิธีการใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอชังข้าว วิธีนี้ต้องมีน้ำเพียงพอ และถ้าไม่เอาฟางออก โดยเก็บฟางไว้ในนา 100% จะต้องใช้เวลาประมาณ 25 วัน ถึงจะเริ่มดำนาหรือหว่านข้าวได้ แต่ถ้ามีการขนฟางออกโดยการอัดฟาง ก็จะใช้เวลาย่อยสลายประมาณ 10 วัน
2.วิธีการไถกลบตอซังข้าว ก็ต้องมีการไถดะไถแปลเพิ่มเข้ามา ซึ่งกระบวนการต่างๆเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรอบทำนาของชาวนา และสภาพพื้นที่ที่ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องน้ำและปัจจัยอื่นๆด้วย ดังนั้นในระยะแรกที่กำหนดให้ชาวนาหยุดเผาฟาง สมาคมฯจึงขอให้รัฐช่วยค่าใช้จ่ายในการจัดการฟาง (โดยไม่เผา) ของชาวนาก่อน
ส่วนระยะต่อๆไปภาครัฐควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนสนใจรับซื้อฟางจากเกษตรกรมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนและเป็นภาระกับเกษตรกร โดยปัจจุบันมีอาชีพรับจ้างอัดฟางออกจากนาเพื่อนำไปจำหน่ายในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งนำไปทำอาหารสัตว์ หรือใช้ทำไฟฟ้าชีวมวล ในส่วนนี้ภาครัฐอาจมีการส่งเสริมเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้มีอาชีพรับจ้างอัดฟางและขนฟางออกจากนา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือและสถานที่ในการเก็บฟาง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการนำฟางข้าวไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆเพิ่มขึ้นได้
“ขณะนี้ชาวนารู้สึกอึดอัดมากเกี่ยวกับการจัดการฟางในนา รอคิวนาน บางรายถึงกับต้องจ่ายพิเศษให้กับรถอัดฟาง ต้นทุนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แล้วใกล้เข้าสู่ฤดูแล้ง ชาวนาจะต้องรีบดำเนินการ จัดการเตรียมแปลง ให้ทันกับน้ำที่มีในขณะนี้ เราเพียรพยายามให้ชาวนาลดต้น เพิ่งผลผลิต แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้มีแต่ต้นทุนเพิ่ม ผลผลิตต่ำ เหตุเพราะว่าค่าจัดการแปลงนา เพิ่มขึ้น ในระยะสั้นนี้รัฐบาลมีมาตรการอย่างไร ในกรณีดังกล่าว และในระยะยาวรัฐบาลมีแนวทางในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร เพราะชาวนาทราบดีปัญหาฝุ่นPM2.5 เกิดจากการเผานาก็เป็นส่วนหนึ่งในหลายส่วนที่ทำให้เกิดปัญหา”
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ทางสมาคม ได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เรื่อง ขอเสนอให้มีการช่วยเหลือชาวนาโดยสนับสนุนปัจจัยการผลิตส่วนหนึ่งให้กับเกษตรกรโดยตรง เพื่อลดต้นทุนการผลิต สำหรับฤดูการผลิตนาปี 2568/69 ที่จะถึงนี้ โดยเป็นการสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และ น้ำมันดีเซล ครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ของราคา โดยชาวนาไม่ต้องสมทบเงินร่วมด้วย คล้ายกับโครงการน้ำมันเขียว ที่ขายน้ำมันให้กับชาวประมง ต่ำกว่าราคาตลาด
ทั้งนี้ "การทำนา 1 ไร่" เกษตรกรต้องใช้ เมล็ดพันธุ์ 25-30 กิโลกรัม (กก.) และ ปุ๋ย 75 กก. และ น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 15 ถึง 20 ลิตรไร่ (ขึ้นกับความใกล้ไกลแหล่งน้ำ) ดังนั้นสมาคมฯ จึงเสนอให้รัฐช่วยส่วนหนึ่งแบบให้ตรง ดังนี้
1. ช่วยเมล็ดพันธุ์ 15 กิโลกรัมต่อไร่
2.ช่วยปุ๋ย 25 กิโลกรัมต่อไร่
3. ช่วยค่าน้ำมันดีเซลราคาพิเศษ (ต่ำกว่าราคาตลาดร้อยละ 30) จำนวนไม่เกิน 15 ลิตรต่อไร่
สำหรับวัตถุประสงค์ เพื่อลดต้นทุนการผลิตของชาวนาลงส่วนหนึ่ง โดยให้ชาวนาที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรและเข้าร่วมโครงการสนับสนุนปัจจัยการผลิต ได้แก่ พันธุ์ข้าว ปุ๋ย โดยชาวนาต้องสามารถเลือกพันธุ์ข้าวตามที่ตนเองประสงค์จะปลูกได้โดยต้องไม่ถูกกำหนดหรือจำกัดเรื่องพันธุ์ข้าวที่จะใช้ปลูก รวมทั้งสามารถเลือกปุ๋ย (ทั้งสูตรและแบรนด์) ตามที่ตนเองคุ้นชินได้โดยตรง
แต่ทั้งนี้จะต้องมีการปรับปรุงเกณฑ์การขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้สอดคล้องกับโครงการ ที่จากเดิมที่จะต้องขึ้นทะเบียนหลังปลูกไปแล้ว 15 วัน และอายุข้าวไม่เกิน 60 วัน เนื่องจากเกษตรกรต้องได้รับพันธุ์ข้าวก่อนเริ่มปลูกวิธีการช่วยเหลือ คือ ให้เป็น "คูปองหรือสิทธิ์" และเป็นการช่วยปีละ 1 ครั้ง โดยให้กับชาวนาที่ขึ้นทะเบียนแล้วเพื่อนำสิทธิ์นี้ไปรับพันธุ์ข้าวและปุ๋ย ณ ณ สหกรณ์ หรือ ร้านจำหน่ายปุ๋ยและพันธุ์ข้าวที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง หรือเพื่อไปซื้อน้ำมันราคาพิเศษตามเงื่อนไขที่กำหนด ประมาณการเงินช่วยเหลือต่อไร่ ดังนี้
1.เมล็ดพันธุ์ข้าว 15 กิโลกรัมต่อไร่ x 30 บาทต่อกิโลกรัม = 450 บาท/ไร่
2. ปุ๋ย 25 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ ครึ่งกระสอบต่อไร่ หรือประมาณ 400 บาทต่อไร่
3. น้ำมันดีเซล (ราคาพิเศษ) จำนวน 15 ลิตรต่อไร่ ที่ราคา 23 บาทต่อลิตร กำหนดให้ซื้อได้ต่ำกว่ากว่าคาปกติร้อยละ 30 (คิดจากราคาปกติที่ลิตรละ 33 บาท) ส่วนนี้จะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิง เช่น ค่าสูบน้ำและอื่นๆ กับชาวนาได้ถึง150 บาทต่อไร่ รวมการสนับสนุนวัสดุปัจจัยการผลิต ทั้งเมล็ดพันธ์ ปุ๋ย และ นำมันดีเซลแล้ว โครงการนี้สามารถช่วยให้ชาวนาลดต้นทุนการผลิตลงได้ถึงประมาณ 1,000 บาทต่อไร่
นอกเหนือจากต้นทุนวัสดุปัจจัยการผลิตแล้ว สิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับเกษตรกรยังรวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เรื่องแหล่งน้ำ และการพัฒนาเมล็ดพันธ์ให้ให้ได้ผลผลิตสูง เพื่อให้เกิดผลิตภาพการผลิตที่สูงขึ้นในระยะยาว เพื่อให้ครบองค์ประกอบด้านโครงสร้างพื้นฐาน รัฐจะต้องพัฒนาเรื่องแหล่งน้ำร่วมด้วย เนื่องจากแหล่งน้ำบางแห่งไม่ได้ถูกปรับปรุง หรือขุดลอกเป็นระยะเวลานาน เช่น แปลงนาในเขตจัดรูปที่ดินหลายแห่ง ซึ่งอยู่ในสภาพตื้นเขินและถูกรุกล้ำ จำเป็นต้องให้หลายหน่วยงาน ทั้งชลประทานและหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามาร่วมกันดูแลอย่างบูรณาการ
อีกทั้งปัจจุบันชาวนาอาศัยน้ำจากคูทิ้งน้ำของกรมชลประทาน ซึ่งเป็นประโยชน์กับเกษตรกรอย่างมากในการทำนาจึงควรมีการศึกษา ออกแบบ และสร้างเป็นอาคารบังคับน้ำ เพื่อให้ชาวนาสาสามารถมีน้ำใช้อย่างต่อเนื่อง ทำนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงหน้าแล้ง เป็นการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดการสูญเสีย
นอกจากนี้ การมีน้ำเพียงพอจะช่วยลดต้นทุนการกำจัดวัชพืช ลดการใช้ยาและเคมีที่ใช้ในการปราบวัชพืช ที่เป็นต้นทุนหลัก อีกส่วนในกระบวนการทำนาลงได้ เพราะในทุกกระบวนการทำนาต้องใช้น้ำเป็นหลัก ดังนั้นหากมีน้ำเพียงพอตลอดช่วงการเพาะปลูกจะยิ่งช่วยให้ชาวนาลดต้นทุนทำนาลงได้อีกส่วนหนึ่งด้วยการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้สูงสุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมุ่งไปที่เรื่อง "การพัฒนาเมล็ดพันธุ์" เพราะผลผลิตต่อหน่วยที่สูงขึ้นจะยิงลดต้นทุนต่อหน่วยการผลิตลง ทำให้ข้าวไทยสามารถแข่งกับข้าวของประเทศ อื่นๆได้ในระยะยาว
ดังนั้นเพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายเมล็ดพันธุ์ที่พัฒนาจะต้องให้ผลผลิตข้าวแห้ง (ที่ความชื้น 15%) ไม่ต่ำกว่า 1,000 กก.ไร่ และ ผลผลิตข้าวสด (ความชื้น 25%) ต้องให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 1,200-1,250 กก.ต่อไร่ และจะต้องเป็นพันธ์ที่รักษาคุณลักษณะและอัตตลักษณ์ของข้าวไทยด้วย และใช้หลักการ "ตลาดนำการผลิต"
“หากทำได้จริงจะเป็นการลดการช่วยเหลือเกษตรกรแบบเป็นเม็ดเงินให้เปล่าในระยะยาวลงได้ และเล็งเห็นว่าแนวทางนี้จะช่วยทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและยื่นได้ด้วยตนเองในที่สุด และท้ายที่สุดภาครัฐจะสามารถลดการช่วยเหลือเกษตรกรในระยะยาวลงได้ และไม่เป็นการบิดเบือนกลไกตลาดสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย หวังเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะพิจารณา สนับสนุนตามที่สมาคมฯนำเสนอ” นายปราโมทย์ กล่าวในตอนท้าย