นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมนัดแรกได้หารือถึงแนวทางดูแลงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของภาครัฐ
ทั้งนี้ มี 4 ระบบ ได้แก่
โดย พบว่ามีตัวเลขใช้งบประมาณเพิ่มสูงรวดเร็ว และสูงเกินมากกว่าจีดีพี จึงต้องมาดูว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร โดยไม่ทำให้สิทธิการรักษาเดิมได้รับผลกระทบ
ด้านนายจเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลในระบบเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยทั้ง 4 ระบบมีสูงถึง 3.6 แสนล้านบาท ครอบคลุมกว่า 64-65 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นปีละ 11% มากกว่าจีดีพีที่โตเพียง 2% กว่า โดยหากปล่อยให้เพิ่มเช่นนี้จะเป็นภาระต่องบประมาณ
อีกทั้ง ยังพบว่ามีความเหลื่อมล้ำของค่ารักษา โดยค่ารักษาของกลุ่มข้าราชการเฉลี่ยสูงถึง 1.8 หมื่นบาทต่อคน รองลงมาเป็นสิทธิค่ารักษาของ อปท.สูงกว่า 1.2 หมื่นบาทต่อคน สิทธิประกันสังคม 4.9 พันบาทต่อคน และสิทธิบัตรทอง 3.8 พันบาทต่อคน
ทั้งนี้ ผลการประชุมยืนยันยังคงให้สิทธิเท่าเดิม แต่จะมีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานขึ้น ตลอดจนใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ และยังไม่มีการคุยถึงการรวมสิทธิรักษาพยาบาลทั้ง 4 ระบบเข้าด้วยกัน หรือนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยบริหาร
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้กำหนดกรอบการทำงาน 8 ด้าน และเรื่องเร่งด่วน 2 ด้านคือ ดูเรื่องงบประมาณรายจ่ายในภาพรวมของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล และเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อยาในแต่ละปี ไทยมีการนำเข้ายาถึงปีละ 2 แสนล้านบาท
“จะต้องดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า การซื้อยาอาจซื้อยาที่เป็นชื่อสามัญ แทนชื่อทางการค้า เพื่อให้ราคาถูกลงแต่ประสิทธิภาพเท่าเดิม รวมถึงการลงทุนผลิตยาเองในประเทศ และรวมกันซื้อยาทีละมากเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองด้านราคา นอกจากนี้ ยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านวิชาการ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน ซึ่งผลการประชุมจะมีการเสนอให้ นายกรัฐมนตรี และครม.พิจารณา ต่อไป”
สำหรับที่ประชุมได้เห็นชอบ 8 แนวทางการบริหารงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของไทย ได้แก่