“พิชัย” ถกรื้อค่ารักษาพยาบาล 4 ระบบ ชี้ปี 67 ใช้งบบาน 3.6 แสนล้าน

12 มี.ค. 2568 | 17:24 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มี.ค. 2568 | 17:32 น.

“พิชัย ชุณหวชิร” นายกฯ ถกใหญ่ รื้อค่ารักษาพยาบาล 4 ระบบ ชี้ปีงบ 67 ใช้เงินทะลุ 3.6 แสนล้านบาท ระบุข้าราชการจ่ายแพงสุด 1.8 หมื่นต่อคน พร้อมเห็นชอบ 8 แนวทางแก้ไข

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมนัดแรกได้หารือถึงแนวทางดูแลงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของภาครัฐ 

ทั้งนี้ มี 4 ระบบ ได้แก่

  • ระบบสวัสดิการสิทธิรักษาข้าราชการ
  • ระบบสิทธิรักษาพยาบาลองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
  • ระบบสิทธิรักษาประกันสังคม
  • สิทธิรักษาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง

โดย พบว่ามีตัวเลขใช้งบประมาณเพิ่มสูงรวดเร็ว และสูงเกินมากกว่าจีดีพี จึงต้องมาดูว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร โดยไม่ทำให้สิทธิการรักษาเดิมได้รับผลกระทบ

ด้านนายจเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า  ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลในระบบเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยทั้ง 4 ระบบมีสูงถึง 3.6 แสนล้านบาท ครอบคลุมกว่า 64-65 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นปีละ 11% มากกว่าจีดีพีที่โตเพียง 2% กว่า โดยหากปล่อยให้เพิ่มเช่นนี้จะเป็นภาระต่องบประมาณ 

อีกทั้ง ยังพบว่ามีความเหลื่อมล้ำของค่ารักษา โดยค่ารักษาของกลุ่มข้าราชการเฉลี่ยสูงถึง 1.8 หมื่นบาทต่อคน รองลงมาเป็นสิทธิค่ารักษาของ อปท.สูงกว่า 1.2 หมื่นบาทต่อคน สิทธิประกันสังคม 4.9 พันบาทต่อคน และสิทธิบัตรทอง 3.8 พันบาทต่อคน

ทั้งนี้ ผลการประชุมยืนยันยังคงให้สิทธิเท่าเดิม แต่จะมีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานขึ้น ตลอดจนใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ  และยังไม่มีการคุยถึงการรวมสิทธิรักษาพยาบาลทั้ง 4 ระบบเข้าด้วยกัน หรือนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยบริหาร 

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้กำหนดกรอบการทำงาน 8 ด้าน และเรื่องเร่งด่วน 2 ด้านคือ ดูเรื่องงบประมาณรายจ่ายในภาพรวมของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล และเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อยาในแต่ละปี ไทยมีการนำเข้ายาถึงปีละ 2 แสนล้านบาท

“จะต้องดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า การซื้อยาอาจซื้อยาที่เป็นชื่อสามัญ แทนชื่อทางการค้า เพื่อให้ราคาถูกลงแต่ประสิทธิภาพเท่าเดิม รวมถึงการลงทุนผลิตยาเองในประเทศ และรวมกันซื้อยาทีละมากเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองด้านราคา นอกจากนี้ ยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ประกอบด้วย  คณะอนุกรรมการด้านวิชาการ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน ซึ่งผลการประชุมจะมีการเสนอให้ นายกรัฐมนตรี และครม.พิจารณา ต่อไป”

สำหรับที่ประชุมได้เห็นชอบ 8 แนวทางการบริหารงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของไทย ได้แก่

  1. สปสช. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานนอกสังกัด ทบทวนเกณฑ์เบิกจ่าย และควบคุมการใช้จ่ายทุกสิทธิให้เหมาะสมภายในวงเงินที่ได้รับจัดสรรเพื่อไม่เป็นภาระการคลัง
  2. สปสช.ให้บริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิ เช่น นำงบเหลือจ่ายมาสมทบเงินกับงบประมาณปี 68
  3. กระทรวงสาธารณสุข มีมาตรการสั่งจ่ายยาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสิทธิ
  4. ให้ทุกหน่วยงานเชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบเดียวกัน
  5. สปสช.เร่งส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเชิงรุก และทบทวนการใช้วินิจฉัยโรคร่วมให้สอดคล้องต้นรักษาค่าพยาบาล รวมถึงจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ มาใช้จัดทำงบปีถัดไป
  6. ให้กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการขาราชการพลเรือน พิจารณาหลักเกณฑ์จัดสวัสดิการค่ารักษาของข้าราชการในระบบ และที่บรรจุใหม่
  7. ให้ร่วมกันกำหนดฐานราคากลางของยา วัคซีน เวชภัณฑ์ ให้เป็นมาตรฐาน และรวมกันจัดซื้อในปริมาณที่มากเพื่อให้ต่อรองราคาได้คุ้มค่า รวมถึงดึงดูดการลงทุนใหม่เข้ามา
  8. เสนอคลังพิจารณาเก็บภาษีเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าที่ทำลายสุขภาพ