นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าแผนการโอนย้าย 3 สนามบิน ประกอบด้วย สนามบินกระบี่ สนามบินอุดรธานี และ สนามบินบุรีรัมย์ จากเดิมตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่ 30 ส.ค.65 ที่เห็นชอบในหลักการให้มีการโอน 3 สนามบินให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)(ทอท.) ออกไปก่อน เนื่องจากสนามบินที่จะโอนเป็นสนามบินที่สร้างรายได้ให้กับกรมท่าอากาศยาน (ทย.)
ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างทบทวนและรวบรวมข้อมูลข้อดีและข้อเสีย ของการโอนย้ายสนามบินทั้ง 3 แห่งไปให้ทอท. อีกครั้ง
ทั้งนี้ได้กำชับให้ ทย. พัฒนาและปรับปรุงสนามบินในความรับผิดชอบ รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเป้าหมายหลักคือเน้นเดินหน้าพัฒนาและปรับปรุงสนามบินภูมิภาคให้มีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะรองรับผู้โดยสารให้ได้รับความสะดวกในเรื่องนี้ก่อน
“การที่จะทำให้สนามบินภูมิภาคในความรับผิดชอบของ ทย.ทั้ง 28 แห่งอยู่ได้ มีรายได้เลี้ยงตัวเอง ต้องปลอดผู้มีอิทธิพลเข้าไปหาผลประโยชน์ในสนามบิน ตนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบกำกับดูแล ที่สำคัญจะต้องปลอดมาเฟียสนามบินที่เข้ามาหาประโยชน์ส่วนตนในสนามบินของรัฐโดยรายได้ไม่ถึงรัฐ” นางมนพร กล่าว
นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ทย.บริหารจัดการสนามบินภูมิภาคแต่ละแห่งให้เป็นสนามบินมีชีวิต ซึ่งการเป็นสนามบินมีชีวิตคือ ต้องมีอัตลักษณ์ ทำสนามบินให้มีเสน่ห์ แนะนำท่องเที่ยว มีระบบขนส่งมวลชนจากสนามบินเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด และพื้นที่ใกล้เคียง
สำหรับสนามบินแรกที่ดำเนินการ คือ สนามบินกระบี่ เนื่องจากสนามบินแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามบินที่มีผู้มีอิทธิพลเข้าไปหาประโยชน์มายาวนาน ที่ผ่านมาไม่มีใครสามารถจัดการได้
ดังนั้นจึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะกวาดบ้าน ล้างผู้มีอิทธิพลทั้งคนใน ทย. และคนนอก ออกไป รวมถึงให้นโยบายทุกสนามบินจะต้องมีการเปิดประกวดราคาหาเอกชนเข้ามาบริหารพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์มีสัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีการเก็บรายได้ส่งสนามบิน
นางมนพร กล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้ทุกสนามบินตั้งคณะทำงานบูรณการภายในสนามบิน โดยมีหัวหน่วยงานในจังหวัดทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกรรมการ เพื่อให้การต่อยอดการพัฒนาสนามบินและท้องถิ่นควบคู่กันไป เช่น มีกรรมการจากขนส่งจังหวัด โดยให้ขนส่งออกไลเซ่นส์ให้มีรถขนส่งสาธารณะจากสนามบินเข้าเมือง รวมถึงเปิดกว้างให้มีแท็กซี่ต่างๆเข้าไปรับผู้โดยสารได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะบริษัทที่ได้สิทธิเข้ามารับส่งโดยไม่ผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง
นอกจากนี้รวมถึงเปิดให้มีวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่นของจังหวัดนั้นๆ สามารถเข้าไปตั้งร้านค้าขายในสนามบินได้ เป็นต้น ซึ่งจากการลงพื้นที่สนามบินกระบี่และกวาดล้างมาเฟียได้ถือได้ว่า ทำตามเป้าหมาย
หากสนามบินแห่งนี้ ทย.ทำได้ จึงมั่นใจว่า สนามบินภูมิภาคกว่า 28 แห่งที่ ทย. กำกับ จะมีทิศทางการบริหารงานที่ดีและสดใส สร้างรายได้ให้กับ ทย. เพิ่มขึ้นกว่า 30%แน่นอน
นางมนพร กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ทย. มีสนามบินภูมิภาคที่รับผิดชอบอยู่ 28 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งสนามบินบางแห่งสร้างเสร็จแต่ยังไม่ใช้ศักยภาพสนามบินเต็มที่ หรือ บางแห่งสร้างแล้วเครื่องบินลงได้เฉพาะรุ่น หรือบางสนามบินสร้างอาคารผู้โดยสารสวยงาม แต่ไม่มีเที่ยวบิน บินมาลง ทำให้การลงทุนของภาครัฐไม่คุ้มค่า เพราะสนามบินหนึ่งๆต้องใช้เงินลงทุนถึง 2,000-3,000 ล้านบาทต่อแห่ง
อย่างไรก็ดีนโยบายต่อไปนี้ภาครัฐ โดยกรมท่าอากาศยาน จะต้องไม่เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างสนามบินภูมิภาคแห่งใหม่อีก แม้ว่าจะมีผลการศึกษาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสร้างได้ก็ตาม ซึ่งนโยบายจะเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนใหม่จากรัฐดำเนินการเปลี่ยนมาเป็นเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ลงทุนรูปแบบ PPP
“ขณะนี้ได้ให้ ทย. ไปทำการบ้านว่าจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนในสนามบินแห่งใหม่ที่ไหนก่อน แบบสนามบินเดียว หรือ รวมลงทุนหลายสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นสนามบินบึงกาฬ สนามบินกาฬสินธุ์ สนามบินพัทลุง สนามบินพะเยา ที่กำลังมีการศึกษา เป็นต้น” นางมนพร กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงคมนาคม ได้หารือเรื่องการเข้าบริหารสนามบิน ทย. กับ ทอท. อีกครั้ง รวมถึงทบทวนข้อดีข้อเสียของการดำเนินการดังกล่าว ยังมีปัญหาอีกมาก จึงมีความเห็นตรงกันว่า จะไม่โอนสิทธิบริหารให้ ทอท. แล้ว เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้าน อาทิ การโอนย้ายบุคลากรจากภาครัฐมาเป็นรัฐวิสาหกิจ ทั้งเรื่องเงินเดือน และสวัสดิการ ที่ไม่เท่ากัน
อย่างไรก็ตามรวมทั้งการโอนย้ายครุภัณฑ์ต่างๆ และสินทรัพย์ของภาครัฐ ที่ต้องศึกษาข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ นอกจากนี้สนามบินขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของ ทย. หากให้ ทอท. เข้ามาบริหารจัดการ ก็อาจจะเป็นภาระงบประมาณของภาครัฐที่ต้องมาสนับสนุนสนามบินแห่งอื่นๆ มากขึ้น
ส่วนการออกใบรับรองสนามบินสาธารณะของสนามบินภูมิภาค ปัจจุบันสนามบินที่ได้ใบรับรองสนามบินสาธารณะมี 5 แห่ง ประกอบด้วย สนามบินสุราษฎร์ธานี สนามบินบุรีรัมย์ สนามบินเบตง
ในปีนี้จะได้ใบรับรองสนามบินสาธารณะเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ สนามบินกระบี่ และ สนามบินพิษณุโลก ซึ่งนโยบายขณะนี้ได้ให้ทย. เร่งรัดแต่ละสนามบินในภูมิภาคที่เหลือได้รับใบรับรองสนามบินสาธารณะตามมาตรฐานสากล
นอกจากนั้นในเดือน ส.ค.68 ผู้โดยสารที่เดินทางในประเทศใน 7 สนามบิน ประกอบด้วย สนามบินกระบี่ สนามบินอุบลราชธานี สนามบินสุราษฎร์ธานี สนามบินอุดรธานี สนามบินขอนแก่น สนามบินนครศรีธรรมราช และสนามบินพิษณุโลก จะจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินเพิ่มขึ้นอีก 25 ต่อคน จากเดิม เส้นทางบินในประเทศ จาก 50 บาท เป็น 75 บาท ส่วนเส้นทางระหว่างประเทศจาก 400 บาทเป็น 425 บาท