ลดดอกเบี้ย 0.25% หนุนจีดีพีภาคการผลิตโต 0.1% สศอ. ชี้ MPI ม.ค. 68 สัญญาณดีขึ้น

28 ก.พ. 2568 | 16:47 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2568 | 16:47 น.

สศอ.เผยธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ย 0.25% ช่วยหนุนจีดีพีภาคการผลิตโต 0.1% ชี้ MPI ม.ค. 68 ส่งสัญญาณดีขึ้นรับปัจจัยบวกจากโครงการแบ่งเบาภาระประชาชน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 68 ว่า อยู่ที่ระดับ 98.89 หดตัว 0.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวจากเดือนก่อน 8.70% และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 60.38% 

โดยได้รับปัจจัยบวกจากรัฐบาลที่มีโครงการเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ GDP ได้ประมาณ 0.275% อีกทั้งยังมีโครงการพักหนี้ คุณสู้ เราช่วย ที่เข้ามาช่วยประชาชนในการตัดเงินต้น พักดอกเบี้ย 3 ปี และปิดจบหนี้ 

และโครงการลดหย่อนภาษีผ่าน Easy E-Receipt 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดส่งออกที่ขยายได้ดี สะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2568 ที่ขยายตัว โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 11.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อภาคการผลิต ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่สูง กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคส่งผลให้การบริโภค    ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยานยนต์ 

ลดดอกเบี้ยหนุนจีดีพีภาคการผลิตโต 0.1% สศอ. ชี้ MPI เดือนม.ค.ปี 68 ส่งสัญญาณ

นอกจากนี้มาตรการกีดกันทางการค้า  ที่สหรัฐฯ นำมาใช้จัดเก็บภาษีจาก 3 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่อาจจะทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น

สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนมกราคม 2568 ส่งสัญญาณเฝ้าระวังโดยปัจจัยภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามปริมาณสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงความเชื่อมั่นทั้งทางธุรกิจและผู้ผลิตที่มีระดับเพิ่มขึ้นไม่มากจากเดือนก่อน ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ปกติเบื้องต้นตามการขยายตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่การผลิตของประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเฝ้าระวังตามผลผลิตที่หดตัว

ขณะที่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จาก 2.25% เป็นร้อยละ 2.0% 

คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตไทยได้รับอานิสงส์จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) ในครั้งนี้ โดยเฉพาะในด้านของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ ได้แก่ การลงทุนในธุรกิจ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินลดลง ผู้ประกอบการมีต้นทุนของแหล่งเงินทุนที่ถูกลง 

ส่งผลให้มีแรงจูงใจในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น การขยายกำลังการผลิต การซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดได้ การขยายตัวของธุรกิจ สามารถขยายกิจการได้เร็วขึ้น เนื่องจากสามารถลงทุนในการพัฒนาใหม่ ๆ ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเร็วขึ้นในระยะสั้น ความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ส่งผลทำให้ราคาสินค้าหรือบริการมีราคาถูกลง 

และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ลดลง เช่น บ้าน และรถยนต์ ส่งผลต่อความต้องการจับจ่ายใช้สอยเงินในการซื้อสินค้าในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

“สศอ. ได้ประมาณการผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ GDP ภาคการผลิตในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับกรณีที่ ธปท. ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ สศอ. ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อช่วยพลิกฟื้นภาคอุตสาหกรรมไทยให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 1%” 

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.87% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเบนซิน 95 เป็นหลัก จากการผลิตที่กลับมาเป็นปกติ

พลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.05% จากผลิตภัณฑ์  Polyethylene (PE), Ethylene และ Styrene Butadiene Rubber (SBR) เป็นหลัก เนื่องจากความต้องการของตลาดกลับมาเพิ่มสูงขึ้น และผู้ผลิตกลับมาผลิตได้ตามปกติไม่มีการซ่อมบำรุง

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.60% จากผลิตภัณฑ์ Hard Disk Drive (HDD) เป็นหลัก โดยเป็นไปตามความต้องการซื้อที่เริ่มกลับมาจากอุปสงค์โลก โดยเฉพาะสินค้า Enterprise HDD

ด้านอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่

ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.30% จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งไฮบริด เป็นหลัก เนื่องจากการหดตัวของตลาดในประเทศ จากกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง และสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ รวมทั้งมีการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูงโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รวมทั้งตลาดส่งออกยังคงหดตัว

น้ำมันปาล์ม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.98% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เนื่องจากปริมาณผลปาล์มที่ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง และอุทกภัยทางภาคใต้ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 

เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่นๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.19% จากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูป น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสผลไม้ เป็นหลัก เนื่องจากเครื่องดื่มกลุ่มฟังก์ชันนอลกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ผู้ผลิตบางรายจึงปรับลดการผลิตเครื่องดื่มที่มี  ความหวานมาผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น อาทิ น้ำดื่มผสมวิตามิน