จากที่นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อติดตามสถานการณ์การส่งออกทุเรียนสดไปต่างประเทศ ร่วมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากเกษตรกรและผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ พร้อมทั้งได้ประกาศ “SET ZERO” เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศโดยสั่งการให้กรมวิชาการเกษตร ขับเคลื่อนภารกิจ มาตรการป้องกันเฝ้าระวัง และจัดการสาร Basic Yellow 2 นั้น
นายรพีภัทร จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ล่าสุด กรมวิชาการเกษตรร่วมกับจังหวัดจันทบุรี ผู้ประกอบการ และกลุ่มเกษตรกร ได้จัด “Big Cleaning” ตั้งแต่ต้นน้ำ จากสวน โรงรวบรวม/โรงคัดบรรจุ เพื่อทำความสะอาดโรงคัดบรรจุ เครื่องมือ อุปกรณ์ ของใช้ และป้องกันการปนเปื้อนซ้ำของสาร Basic Yellow 2 ก่อนเปิดฤดูกาลทุเรียนภาคตะวันออก รวมทั้งยังมีมาตรการตรวจสอบติดตามและเฝ้าระวัง การใช้ปัจจัยการผลิต ที่ไม่ถูกต้องจากแปลงของเกษตรกร และสร้างความมั่นใจก่อนเก็บเกี่ยวและจำหน่ายไปยังโรงคัดบรรจุ(ล้ง)
ทั้งนี้กรมวิชาการเกษตร โดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 7 ได้เข้าเก็บตัวอย่างผลผลิตทุเรียนที่ จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช พร้อมติดตามชนิดสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตและเก็บตัวอย่างของสารเคมีที่ใช้ในการผลิตทุเรียนจากสวนดังกล่าว ส่งทดสอบกับห้องปฏิบัติการ ผลการทดสอบไม่พบการปนเปื้อนสาร Basic Yellow 2 แต่อย่างใด
มาตรการดังกล่าวกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการต่อเนื่องมาในพื้นที่ของภาคตะวันออกทั้งจันทบุรีและระยองโดยมอบหมายให้สารวัตรเกษตร สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 เข้าตรวจ และ เก็บตัวอย่างปัจจัยการผลิตจากร้านค้า จากสวนของเกษตรกรเพื่อตรวจสอบ ติดตามว่ามีการปนเปื้อนหรือมีการใช้สารดังกล่าวหรือไม่ รวมถึงผลผลิตจากแปลงของเกษตรกรด้วย
อย่างไรก็ดีแนวทางหลักการปฏิบัติที่ดีหรือ GAP เป็นหลักพื้นฐานในการผลิตจากแปลงของเกษตรกรที่มีการใช้สารเคมีการใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องตามคำแนะนำโดยเฉพาะการเลือกซื้อปัจจัยการผลิตที่เป็นร้านค้าที่รับรองจากกลุ่มการเกษตรและสารเคมีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรโดยใช้ให้เหมาะสมตามคำแนะนำตามหลักการ GAP ซึ่งเป็นพื้นฐานให้มีผลที่ดีมีคุณภาพ
นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรให้ความมั่นใจในศักยภาพการตรวจวิเคราะห์ ของห้องปฏิบัติการเอกชน ช่วงผลผลิตออกมาในปริมาณมาก กระบวนการตั้งแต่การเก็บตัวอย่าง การทดสอบในห้องปฏิบัติการ จนถึงการรับผลทดสอบ สามารถ รองรับผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรและจีน จำนวน 8 แห่ง และสามารถทดสอบ BY2 แต่ละวัน ประมาณ 820 ตัวอย่างต่อวัน และแต่ละห้องปฏิบัติการสามารถเพิ่มความสามารถในการตรวจได้อีก 2 เท่า ห้องปฏิบัติการที่ให้บริการทดสอบ Basic Yellow 2 ดังนี้
1. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขากรุงเทพฯ 100 ตัวอย่างต่อวัน
2. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาฉะเชิงเทรา 100 ตัวอย่างต่อวัน
3. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาเชียงใหม่ 50 ตัวอย่างต่อวัน
4. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาสงขลา 150 ตัวอย่างต่อวัน
5. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาสมุทรสาคร 70 ตัวอย่างต่อวัน
6. บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตร แห่งเอเชีย จำกัด (มหาชน)
200 ตัวอย่างต่อวัน
7. บริษัท เอสจีเอส(ประเทศไทย) จำกัด 100 ตัวอย่างต่อวัน
8. บริษัท ยูโรฟินส์ ฟู๊ด เทสติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด 50 ตัวอย่างต่อวัน
นอกจากนี้ ห้องปฏิบัติการอื่นมีแผนจะยื่นขอยอมรับความสามารถภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ได้แก่ 1. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง(ประเทศไทย) จำกัด สาขาขอนแก่น 50 ตัวอย่างต่อวัน
2. บริษัท บูโร เวอริทัส เอคิว แล็บ (ประเทศไทย) จำกัด
3. บริษัท อินเตอร์เทค เทสติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด
4. บริษัท รับตรวจสินค้าโพ้นทะเล จำกัด OMIC
ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าห้องปฏิบัติการไทยสามารถรองรับการทดสอบ BY2 ในผลทุเรียนได้เต็มศักยภาพอย่างแน่นอน โดยการสุ่มเก็บตัวอย่างและการขนส่งตัวอย่างถึงห้องปฏิบัติการใช้เวลาภายใน 24 ชั่วโมง ห้องปฏิบัติการ ฯ ทดสอบและออกรายงานผลการทดสอบ ใช้เวลา 48 ชั่วโมง รวม 72 ชั่วโมง หรือภายใน 3 วัน
"มาตรการดังกล่าวจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ในการผลิตทุเรียนคุณภาพจากสวนของเกษตรกรบรพื้นฐานการปฏิบัติตามหลัก GAP โรงคัดบรรจุปฏิบัติตามหลักการ GMP และตรวจรับรองผลทดสอบก่อนการส่งออก ทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดจีนที่เป็นตลาดหลักสำคัญ ซึ่งจะทำให้สามารถรักษาตลาดทุเรียนแสนล้านต่อไปได้" นายรพีภัทร กล่าว