โรค ASF ยังอันตราย กรมปศุสัตว์ต้องเคร่งกฎ-คุมเข้มมาตรฐานฟาร์มต่อเนื่อง

11 ก.พ. 2568 | 18:07 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.พ. 2568 | 18:23 น.

เกษตรกรคนเลี้ยงหมูของไทยบอบช้ำอย่างหนักกับปัญหาโรคระบาด ASF หรือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ในช่วงปี 2564-2565

ส่งผลให้จำนวนหมูพ่อแม่พันธุ์ในระบบทั่วประเทศลดลงจาก 1,200,000 ตัว เหลือเพียงครึ่งเดียว เป็นหายนะครั้งรุนแรงที่ส่งผลต่อเนื่องให้ซัพพลายเนื้อหมูมีน้อยกว่าความต้องการบริโภค ส่งผลให้ราคาหมูขยับสูงขึ้นถึงกิโลกรัม(กก.) ละ 200 บาท

นอกจากนี้ยังเป็นช่องว่างให้ขบวนการมิจฉาชีพลักลอบนำหมูเถื่อนเข้าประเทศ สร้างความเสียหายต่อเนื่องเป็นระยะยาว ดังนั้นจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันโรคระบาดสัตว์ ซึ่งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ซึ่งที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ ได้เข้มงวดกับระบบป้องกันโรคจนเห็นผล สามารถกำกับดูแลและควบคุมสถานการณ์ ASF ได้ในที่สุด

มาตรการเหล่านี้ได้ผ่านการกลั่นกรองจากผู้รู้ จากนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ สัตวแพทย์ และจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเลี้ยงสุกร ไม่ใช่มโนขึ้นมาเฉย ๆ  อาทิ คู่มือปฏิบัติมาตรฐาน (SOP) สำหรับการเฝ้าระวัง, ป้องกัน, และควบคุมโรค ASF มีคำเตือนการเฝ้าระวังทางอาการของสุกร เช่นต้องเก็บตัวอย่างเลือดสุกรป่วย 15 ตัวอย่าง และมีขั้นตอนการทำลายสุกรและการประเมินราคาสุกรที่สั่งทำลาย รวมถึงการเบิกเงินค่าชดใช้ในการทำลายสัตว์หรือซากสัตว์ ตลอดจนการนำสุกรเข้าเลี้ยงใหม่หลังจากโดนทำลาย ต้องทำลายสุกรมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน และล้างทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคครั้งใหญ่ (Big Cleaning) และสุ่มเก็บ surface swab ในโรงเรือนที่จะนำสุกรเข้าเลี้ยง เป็นต้น

โรค ASF ยังอันตราย กรมปศุสัตว์ต้องเคร่งกฎ-คุมเข้มมาตรฐานฟาร์มต่อเนื่อง

ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทั้งระบบที่ภาครัฐต้องลงรายละเอียดของการป้องกันโรค ASF ในแทบจะทุกขั้นตอนของการผลิตสุกร เป็นเพราะโรคนี้มีความรุนแรงสูง หากเกิดแม้แต่ตัวเดียว ต้องใช้วิธีทำลายหมูทั้งหมดในรัศมี 3 กิโลเมตร ทั้งยังต้องควบคุมการเคลื่อนย้ายในรัศมี 10 กิโลเมตร ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยารักษา และหากระบาดขึ้นแล้ว โอกาสกำจัดเชื้อให้หมดไปนั้น ทำได้ค่อนข้างยาก และมักพบการระบาดซ้ำ ดังนั้น การเข้มงวดกับการป้องกันอย่างจริงจังจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำร้ายคนไทยและเศรษฐกิจไทยอย่างหนักดังที่ทราบกัน

อีกนัยหนึ่งการมีมาตรฐานการเลี้ยงหมูเป็นเรื่องที่ดี จะช่วยดูแลความปลอดภัยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั้งรายย่อย รายกลางและรายใหญ่ ที่มีอยู่ในระบบราว 2 แสนราย รวมถึงตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งหมด ทุกคนจะสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและเลี้ยงครอบครัวต่อไปได้ ไม่ถูกทำลายด้วย ASF หรือโรคระบาดสัตว์อื่นๆ  ทั้งยังเป็นการยกระดับภาคเกษตรของไทย เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการผลิตอาหารของชาติ

อย่างไรก็ดี ล่าสุด กรมปศุสัตว์​แจ้งข่าวว่าจะทบทวน​ประกาศกรมปศุสัตว์ เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์การนำสุกร หรือหมูป่า เข้ามาเลี้ยงใหม่ พ.ศ. 2567  ฟังแล้วน่าตกใจ เพราะหากผ่อนปรนมาตรการที่วางไว้ลง ย่อมเป็นอันตรายต่อห่วงโซ่การผลิตหมูของทั้งประเทศ  

การทบทวนประกาศนี้ระบุว่าจะพิจารณาร่วมกับผู้แทนเกษตรกรรายย่อย รวมถึงคณะทำงานด้านวิชาการในการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนภาคเกษตรกร ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อกำหนดมาตรการในการเลี้ยงสุกรให้มีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันโรคได้ ตลอดจนสอดคล้องกับการประกอบอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทุกระดับ ซึ่งต้องขอให้ยืนยันเข้มแข็ง ในการห้ามนำเข้าหมูป่าเข้าเลี้ยงโดยเด็ดขาด เนื่องจากหมูป่าเป็นพาหะนำโรค ASF ดังที่ทราบกัน

ทั้งนี้ “กรมปศุสัตว์” ยังต้องเข้มงวดกับมาตรการป้องกันโรค เพื่อปกป้องความมั่นคงทางอาหารของชาติให้มั่นคงยั่งยืน เพราะเรื่องแบบนี้จะยอมอ่อนข้อ ผ่อนปรน หรือมองข้ามไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว 

บทความโดย : สมคิด เรืองณรงค์ นักวิชาการด้านปศุสัตว์