ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน(PM2.5) ที่ประเทศไทยต้องเผชิญมาหลายปี และปีนี้สถานการณ์ค่อนข้างหนัก โดยตลอดช่วงกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าฝุ่น PM2.5 ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดครึ่งค่อนประเทศเป็นสีแดง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งปัญหานี้มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น หากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านไม่ร่วมมือและเอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหาเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
จากข้อมูลวิจัยในเชิงเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาฝุ่นและผลกระทบทางเศรษฐกิจของ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ระบุ หากนำแนวคิด Subjective Well-Being มาประยุกต์ใช้ตีมูลค่าต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์พบว่า ในแต่ละปีประเทศไทยเสียหายจากปัญหาฝุ่นเป็นเงินมหาศาล
ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า มูลค่าต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จากฝุ่น PM10 ของกรุงเทพฯ จะมีมูลค่าสูงถึง 446,023 ล้านบาทต่อปี ขณะข้อมูลที่ใกล้ที่สุดเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายจาก PM2.5 ต่อครัวเรือนไทย เมื่อปี 2562 จะอยู่ที่ 2.173 ล้านล้านบาท
เฉลี่ยความเสียหายทางเศรษฐกิจคือ อันดับ 1 กรุงเทพฯ 436,330 ล้านบาท/ปี อันดับ 2 ชลบุรี 80,119 ล้านบาท/ปี อันดับ 3 นครราชสีมา 70,784 ล้านบาท/ปี อันดับ 4 เชียงใหม่ 70,356 ล้านบาท/ปี และอันดับ 5 ขอนแก่น 53,466 ล้านบาท/ปี
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติของค่าเสียโอกาส โดยเฉพาะประเด็นด้านสุขภาพของคนกรุงเทพฯ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน PM 2.5 ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทั้งในมิติของการรักษาอาการเจ็บป่วย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในมิติของการดูแลป้องกันสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งแม้ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ แต่ถือเป็นค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคไม่สามารถนำเงินนี้ไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้น โดยใช้สมมุติฐานว่า คนกรุงเทพฯป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ / ระบบทางเดินหายใจไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน และประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน และมีค่ารักษา ค่าเดินทาง เฉลี่ยต่อคน 1,800-2,000 บาท รวมถึงประชาชนทั่วไปที่อาจมีค่าใช้จ่ายในการดูแลป้องกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพ ทั้งการรักษาและการป้องกันอยู่ที่ราว 3,000 ล้านบาท/เดือน
ขณะที่ หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน การท่องเที่ยว เป็นต้น รวมถึงผลกระทบที่เกิดในพื้นที่อื่นๆ ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจะสูงกว่านี้
“การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจข้างต้น เป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ยังประเมินออกมาเป็นมูลค่าผลกระทบอย่างชัดเจนได้ยากยังคงมีอยู่ ที่สำคัญคือ ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว หรือความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง ตลอดจนผลต่อภาพรวมของประเทศที่ทางการมุ่งหวังจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การแพทย์ และอื่น ๆ ในเวทีโลก”
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM2.5 และผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาตินั้น ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ออกประกาศกระทรวง ลงวันที่ 17 มกราคม 2568 เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน ( pm 2.5) ภาคการเกษตร
โดยกำชับให้เกษตรกรห้ามเผาในพื้นที่การเกษตรทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคมถึง 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเกษตรกรที่มีประวัติการเผาในช่วงเวลาดังกล่าว จะทำให้ขาดคุณสมบัติ และไม่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการสนับสนุนหรือช่วยเหลือต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯทุกโครงการเป็นเวลา 2 ปี (ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2568 - 31 พ.ค. 2570) ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับการป้องกันเนื่องจากยังมีการเผาในพื้นที่เกษตร ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM2.5
มาตรการที่ออกมา นอกจากทำให้เกษตรกรไม่เสียสิทธิในโครงการที่รัฐให้การสนับสนุนแล้ว ยังช่วยให้ไม่สร้างมลพิษ ไม่ทำลายดิน และเกิดผลดีต่อเนื่องต่อตัวของเกษตรกรเอง นอกจากนี้ได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ทำการบินทุกวันในช่วงเช้าตั้งแต่ 10.00 น. และช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 14.00 น. ใช้เวลาบินประมาณ 20 ถึง 30 นาที (เพื่อใช้เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ำและโปรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อเป็นการเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองต่อไปได้)
นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำการบินในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ โดยจะบูรณาการร่วมกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ในการกำหนดชั้นความสูงและกำหนดพื้นที่ในกรุงเทพชั้นในเพื่อปฏิบัติการลดฝุ่น ซึ่งบางจุดต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการบินของเครื่องบินเชิงพาณิชย์ชั่วคราว เพื่อให้การปฏิบัติการฝนหลวงได้อย่างปลอดภัย
“กรมได้รับงบสนับสนุนค่าน้ำมันในการบินจากรัฐบาล 167 ล้านบาท โดยทางสำนักงบประมาณได้อนุมัติให้ก่อน 76 ล้านบาท ทำให้การปฏิบัติงานมีความราบรื่น และมีแผนจะบินกลางคืนเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาฝุ่น PM2.5 จากนั้นมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง และวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้จะไปตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่จังหวัดอุดรธานี เพราะมีโรงงานน้ำตาล ไร่อ้อยจำนวนมาก ก็จะไปเคลียร์ชั้นบรรยากาศให้”
ด้าน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เศรษฐกิจไทย และสังคมอย่างมาก ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือ 58 โรงงานน้ำตาลทั่วประเทศงดการรับซื้ออ้อยเผาโดยเด็ดขาด เพื่อระงับยับยั้ง และยุติการเผาไร่อ้อยก่อนส่งเข้าโรงงาน
โดยมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยที่ถูกเผา ให้โรงงานมีสิทธิปฏิเสธการรับอ้อยที่ถูกเผา และเห็นชอบอัตราการหักเงินชาวไร่ที่ส่งอ้อยที่ถูกเผาในแต่ละวันเป็นรายโรงงาน หากปริมาณอ้อยที่ถูกลักลอบเผามีปริมาณ 0.01 – 25.00% ให้หักเงินชาวไร่อ้อย ในอัตราตันละ 30 บาท และปริมาณอ้อยที่ถูกลักลอบเผาตั้งแต่ร้อยละ 25.01% ขึ้นไปให้หักเงินชาวไร่อ้อยเพิ่มอีกตันละ 100 รวมเป็นอัตราตันละ 130 บาท
ขณะที่ชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเข้าโรงงาน รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุน ในการตัดอ้อยสด และรวบรวมใบอ้อยเพื่อเป็นวัตถุดิบป้อนโรงไฟฟ้าชีวมวลรวมแล้วอยู่ที่ตันละ 120 บาท ล่าสุด ณ วันที่ 26 มกราคม 2568 พบว่า ชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศได้ให้ความร่วมมือในการไม่ตัดและรับอ้อยเผาเข้าหีบต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยลดลงใกล้แตะระดับ 10% ขณะที่การตัดอ้อยสดพุ่งกว่า 90% ของปริมาณการรับอ้อยเข้าหีบทั้งหมด ส่งผลให้อากาศในพื้นที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น ปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 ลดลง ประชาชนมีความมั่นใจในการออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกบ้านมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดการปล่อยฝุ่นควันจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้มาตรการกำกับและตรวจสอบโรงงานเพื่อเฝ้าระวังการระบายมลพิษอากาศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะโรงงานที่ต้องติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่ปล่อยจากปล่องอัตโนมัติแบบ Real Time หรือระบบ CEMs ซึ่งโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าเป็นโรงงานขนาดใหญ่เข้าข่ายต้องติดตั้งระบบ CEMS ซึ่งจากการตรวจสอบได้สั่งระงับการผลิตโรงไฟฟ้า/โรงงานน้ำตาลบางแห่ง รวมทั้งการสั่งปรับปรุงแก้ไขโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ 17 โรงงาน
นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ทุกจังหวัด ยกระดับมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีนโยบายสกัดการเผา ลดฝุ่น PM 2.5 จากต้นตอ โดยเปลี่ยนพื้นที่เตรียมเผา เป็นการไถกลบได้ 100% แล้วใน 19 อำเภอ รวมพื้นที่กว่า 231,642 ไร่
ทั้งนี้ทางจังหวัดจะพยายามควบคุมในส่วนของปัญหาการเผาในเชียงใหม่ก่อน ด้วยการรับซื้อใบไม้แห้งจากชาวบ้าน เพื่อลดการเผาลง ทำให้ปัจจุบันปัญหาฝุ่นลดลงถึง 92% เทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกิดจากการเผาป่าในประเทศ 50% ส่วนอีก 50% มาจากการเผาของประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นต้องพยายามลดการเผาในประเทศให้ได้มากที่สุด
ขณะไอเสียจากรถยนต์ที่เป็นอีกส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ค่ายรถยนต์ได้พลิกยุทธ์และออกแคมเปญเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โดยยอมรับต้นทุนสูงขึ้น หลังจากที่รถปิกอัพที่ผลิตตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ต้องรองรับมาตรฐานไอเสีย ยูโร5 โดยโตโยต้า อีซูซุ ได้ติดกรอง DPF (ตัวกรองอนุภาคไอเสียดีเซล) ส่วนฟอร์ด เพิ่มสาร AdBlue (น้ำยาบำบัดไอเสียในเครื่องยนต์ดีเซล) ซึ่งทุกค่ายยืนยันรถยนต์รุ่นใหม่สามารถควบคุมไอเสียได้ดี ลดการปล่อย PM2.5 ส่วนรถเก่าที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ยังมีแคมเปญให้ลูกค้านำรถเข้ามาดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนรัฐบาลให้เปิดโครงการรถใหม่แลกรถเก่า
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ทุกรุ่น ได้ปรับปรุงให้ผ่านการรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ระดับยูโร 5) ที่ช่วยลดการปล่อยละออง PM2.5
ส่วนบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด รายงานว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ มากบ้างน้อยบ้างตามฤดูกาล แต่อีซูซุได้ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการสนับสนุนการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563
โดยให้ลูกค้านำรถอีซูซุที่มีอายุเกินกว่า 15 ปี เข้ามาที่ศูนย์บริการอีซูซุทั่วประเทศ เพื่อรับบริการตรวจเช็คฟรีกว่า 30 รายการสำหรับรถปิกอัพและรถนั่งอเนกประสงค์ และฟรีกว่า 50 รายการสำหรับรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 50% สำหรับค่าแรงและค่าอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับการลดมลพิษทางอากาศ ไปจนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568
นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจรถยนต์สามารถควบคุมฝุ่นควันไอเสียได้ดีกว่าหลายเซ็กเตอร์ เพราะทุกบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ สามารถทำรถที่ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับสุดยอด เป็นไปตามมาตรฐานสากล และกฎระเบียบของภาครัฐ(ยูโร 5) ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ หรือปิกอัพ เครื่องยนต์ดีเซล
ดังนั้น ภาครัฐต้องมาให้ความสำคัญกับรถที่มีอายุการใช้งานเกินเกณฑ์ เข้มงวดในการจับปรับรถที่ปล่อยควันดำ ขณะเดียวกันอาจจะมีมาตรการจูงใจ ให้คนเปลี่ยนจากรถคันเก่ามาเป็นรถที่ปล่อยไอเสียต่ำ