โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจุดเริ่มต้นของ“ยุคทองแห่งอเมริกา”พร้อมเปิดเผยนโยบายสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคง ปกป้องอธิปไตย และสร้างความสามัคคีในชาติ
สุนทรพจน์นี้ เน้นย้ำถึงการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อย่างเต็มภาคภูมิ และให้คำมั่นที่จะผลักดันชาติไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์และมั่งคั่ง
การประกาศคำมั่นของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะการกำหนดภาษีนำเข้า 10-20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยสินค้านำเข้าจากจีนจะถูกเก็บภาษีมากที่สุดที่ 60-100% แม้จะถูกนักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้เตือนว่า มาตรการเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องแบกรับภาระในรูปแบบของราคาสินค้าที่สูงขึ้นก็ตาม
ก่อนหน้าพิธีสาบานตนไม่กี่วัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ได้ออกมาเตือนว่า แผนการของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเพิ่มภาษีศุลกากรทั่วไปสูงสุด 20% ลดภาษี และจำกัดการอพยพ อาจนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และขัดขวางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และอาจต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าและเพิ่มปัญหาการขาดดุลภายนอกของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ IMF ยังมองว่า จะบั่นทอนต่อเศรษฐกิจโลกจากที่คาดว่าปี 2568 เศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 2.7% อาจจะลดงอีกราว 0.3% เหลือ 2.4% และยังมองถึงปี 2569 ว่า จะลดลงอีกหาก ยังทวีความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย สัดส่วนเกือบ 20% และยังเป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐในอันดับต้นๆ โดยปี 2566 ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 12 จากปี 2565 อยู่ในอันดับ 14 และคาดว่า ปี 2567 การเกินดุลการค้าสหรัฐจะขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 9
ทำให้ไทยไม่น่ารอดพ้นจากสายตาของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ แล้วตั้งนโยบายมาตรการกับประเทศที่ได้ดุลการค้ามากขึ้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวว่า จากนโยบาย Make America Great Again ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะมีความเข้มข้นขึ้น ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐ แบ่งเป็น
“หากไทยถูกสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการต่างๆ จะส่งผลต่อต้นทุนที่แพงขึ้น ขณะที่จีนเองหากไม่สามารถส่งสินค้าไปสหรัฐได้ ก็ต้องแสวงหาตลาดใหม่ โดยจะเห็นว่าสินค้าจีนทะลักเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา”
ทั้งนี้จากข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบปี 2565 ถึง 20 กลุ่มอุตสาหกรรม และปี 2566 กระทบ 22 กลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ปี 2567 กระทบ 25 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยปีนี้จะกระทบ 30 กลุ่มอุตสาหกรรม และคาดว่า จะรุ่นแรงเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นปีนี้ประเทศทั่วโลกจะปรับการค้าการลงทุนใหม่
ถือว่า ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้คือ ความไม่แน่นอน ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ มาจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ภายใต้นโนบาย ทรัมป์ 2.0 ที่ทุกคนต้องเตรียมรับมือ รวมถึงไทยด้วย
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,064 วันที่ 23 - 25 มกราคม พ.ศ. 2568