นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยว่า แม้ว่าการตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ ที่ "ทรัมป์" ได้เคยประกาศมาตลอดในช่วงหาเสียง แต่ล่าสุดท่าทีขณะกล่าวสุนทรพจน์หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการดูผ่อนคลายมากขึ้น
ทั้งนี้ "ทรัมป์" ได้กล่าวถึงเรื่องการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ว่า ในเบื้องต้นยังชะลอแผน และยังไม่มีการประกาศมาตรการออกมา ได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังย้ำถึงนโยบายเก็บภาษีเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
มองว่าประเด็นดังกล่าวไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้นแน่ แต่จากแนวคิดก่อนหน้านี้ทำให้คาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศแรกๆ ที่จะโดนการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น คือ กลุ่มประเทศที่มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ หนักๆ ใน Top 5 อาทิ จีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งอาจเห็นในช่วงต้นเดือนก.พ. 68 นี้เป็นต้นไป
แต่ก็ใช่ว่ากลุ่มประเทศในอาเซียน ซึ่งรวมไปถึงไทยจะไม่เสี่ยงโดนผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษี (Tariff Wall) และมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพราะไทยเองก็มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จำนวนมาก และอยู่ในลำดับที่ 12 ของประเทศที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ แม้ไม่ใช่กลุ่มแรกที่โดน แต่ก็คงเลี่ยงรอบถัดไปไม่ได้
"ถามว่าแล้วผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีจะร้ายแรงต่อผู้ประกอบการและประเทศไทยแค่ไหนน้น ก็อาจต้องรอให้มาตรการกำแพงภาษี รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมีความชัดเจนมากกว่านี้ซะก่อน แต่ที่แน่ๆ กลุ่มที่จะโดนผลกระทบดังกล่าวคงไม่ผลธุรกิจที่มีการส่งออกสินค้า ดังนั้นแล้วหุ้นส่งออกในปีนี้อาจเผชิญกับความท้าทายอยู่"
นายวิจิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องยอมรับว่าในปี 67 อัตราการเติบโตของยอดการส่งออกของไทยทำได้ค่อยข้างดี ประมาณ 3% บวกลบ ซึ่งดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ ทั้งนี้ ตามปกติแล้วการเติบโตของการส่งออกจะสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี ดังนั้นแล้ว ตัวเลขการส่งออกในไตรมาส 4 และ 1 อาจจะไม่ได้ดีอย่างชัดเจนนัก
นอกจากนี้ ยังมองว่าผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าของไทยอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ผันผวนร่วมด้วย จากนี้ก็คงได้แต่ตั้งความหวังว่าค่าเงินบาทในปี 68 นี้จะไม่เหวี่ยงตัวมากนัก สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีการส่งออกนั้น มองว่ากลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ปีนี้ยังท้าทาย
ในขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับการบริโภค เช่น อาหาร ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม ยังมีแนวโนมการเติบโตที่ค่อนข้างดี แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ความต้องการบริโภคมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น มองว่า COCOCO มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ อีกแรกดึงดูดใจคืองบไตรมาส 4 คาดว่ากำไรยังทำสถิติสูงสุดให้ได้ต่อเนื่อง
ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรโดยเฉพาะยางพารา มองว่า STA และ STGT ซึ่งเป็นผู้ที่มีมาตรฐานตามกฎระเบียบว่าด้วยการไม่ตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป หรือ EUDR ค่อนข้างได้เปรียบกว่ารายอื่นๆ แต่ต้องยอมรับว่ายอดขายในปี 68 นั้นอาจต้องเผชิญกับฐานที่สูงกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวันในปีก่อนสำหรับ STA ขณะที่ STGT คาดว่ายอดจำหน่ายถุงมือยางจะปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่อาจเทียบกับฐานที่สูงในส่วนที่โควิดระบาดไม่ได้