"ค่าไฟขึ้น" ดันต้นทุนค่าครองชีพ-สินค้า บริการเพิ่มไม่เกิน 10% ปีนี้

30 ส.ค. 2565 | 15:19 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ส.ค. 2565 | 22:19 น.
1.1 k

"ค่าไฟขึ้น" ดันต้นทุนค่าครองชีพ-สินค้า บริการเพิ่มไม่เกิน 10% ปีนี้ หลัง กกพ.ปรับค่าเอฟทีงวด ก.ย.-ธ.ค. ปรับขึ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ประชาชนจ่าย 4.72 บาทต่อหน่วย

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 20 ในเดือนสิงหาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “วิกฤตค่าไฟฟ้าแพง กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน” พบว่า จากมติสำนักคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 มาอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย 

 

จากค่า Ft งวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 ที่เก็บอยู่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.72 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18% จากค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 ที่เก็บอยู่ 4 บาทต่อหน่วย นั้น 

 

จากผลสำรวจ FTI Poll พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีความกังวลว่าการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงเกินไปในครั้งเดียว จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งต่อไปที่ราคาสินค้าและวัตถุดิบตามต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

รวมทั้งส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่ดำเนินนโยบายในการคงอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8 บาทต่อหน่วย ตลอดปี 2565 โดยผลสำรวจพบว่า ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีต้นทุนจากค่าไฟฟ้า คิดเป็น 10 – 30% จากต้นทุนการผลิตทั้งหมด

 

ดังนั้น การขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 ในอัตราที่สูงทันที จะทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความจำเป็นจะต้องปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 10% ภายในปลายปีนี้

 

ในส่วนของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า ภาครัฐควรพิจารณาทยอยปรับขึ้นค่า Ft โดยให้ค่าไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5 % ต่องวด (งวดละ 4 เดือน) ควบคู่ไปกับการออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ SMEs เช่น การลดค่าไฟฟ้า เป็นต้น 

 

"ค่าไฟขึ้น" ดันต้นทุนค่าครองชีพ-สินค้า บริการเพิ่มไม่เกิน 10% ปีนี้

 

เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 จากแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูง ภาระที่ กฟผ. ได้แบกรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – เมษายน 2565 กว่า 83,010 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทยอยส่งต่อต้นทุนดังกล่าวมายังผู้ใช้ไฟฟ้า รวมทั้ง แนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง  

 

การแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงในระยะยาว ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ เสนอให้ภาครัฐควรมีการทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มีการส่งเสริมและปรับลดขั้นตอนให้เอกชนสามารถลงทุนโรงไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี รวมถึงมีการปรับลดขั้นตอนในการขออนุมัติอนุญาตใช้อุปกรณ์พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและเอกชนให้สะดวกรวดเร็วและต้นทุนต่ำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาพลังงานได้ในระยะยาวและยังช่วยแบ่งเบาภาระจากภาครัฐในการบริหารจัดการด้านพลังงาน 

ส่วนของภาคอุตสาหกรรมเอง ผู้บริหาร ส.อ.ท. แนะนำว่า ควรเตรียมความพร้อมรับมือกับภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงนี้ เช่น ลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้ภายในโรงงาน เช่น ติดตั้ง Solar Rooftop, มีปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุนพลังงาน รวมทั้ง นำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (EMS) มาใช้ และปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ

 

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 215 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 20 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้


1.  ต้นทุนค่าไฟฟ้าของอุตสาหกรรมคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
     

  • 10 - 30% 54.9%
  • น้อยกว่า 10% 27.4%
  • 30 - 50% 13.0%
  • มากกว่า 50%   4.7%

 
2.  การปรับอัตราค่าไฟฟ้าฝันแปรอัตโนมัติ (Ft) จะส่งผลกระทบต่อราคาขายสินค้าและบริการอย่างไร
   

  • ปรับราคาสินค้าและบริการขึ้น ไม่เกิน 10% 44.2%
  • ราคาสินค้าและบริการคงที่  27.4%
  • ปรับราคาสินค้าและบริการขึ้น ไม่เกิน 20% 22.3%
  • ปรับราคาสินค้าและบริการขึ้น ไม่เกิน 30%  6.1%

 

3.  ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อการปรับอัตราค่าไฟฟ้าฝันแปรอัตโนมัติ (Ft) ในเรื่องใด 
     

  • ราคาสินค้าและวัตถุดิบที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนค่าไฟฟ้า   76.7%
  • ความสามารถในการแข่งขันลดลง จากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น  61.4% เมื่อเทียบกับเวียดนามที่คงค่าไฟฟ้าที่ 2.8 บาทตลอดปี 2565    
  • กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และกำลังซื้อที่หดตัว 55.8%
  • เร่งอัตราเงินเฟ้อให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น   49.8%

 

4.  ภาครัฐควรดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างไร
     

  • ทยอยปรับขึ้นค่า Ft โดยให้ค่าไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5 % ต่องวด 68.8% (งวดละ 4 เดือน) 
  • ลดค่าไฟฟ้าให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ SMEs 52.1%
  • เปิดให้สามารถซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนผ่านสายส่งของการไฟฟ้า 50.2%
  • ปรับลดอัตราการคิดค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (TOU)  47.0%  หรือปรับลดช่วงเวลา On Peak 

        

5.  ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อป้องกันวิกฤตค่าไฟฟ้าแพงในระยะยาวอย่างไร
   

  •  ทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย  66.5%
  •  ส่งเสริมและปรับลดขั้นตอนให้เอกชนสามารถลงทุนโรงไฟฟ้า 60.9% เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี
  •  ปรับลดขั้นตอนในการขออนุญาติใช้อุปกรณ์พลังงานหมุนเวียน 58.1% ในภาคธุรกิจและเอกชน 
  •  ปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP)  53.0%  โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

 

6.  ภาคอุตสาหกรรมควรปรับตัวรับมือกับค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร
     

  • การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้ภายในโรงงาน 86.0% เช่น ติดตั้ง Solar Rooftop
  • ปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุนพลังงาน  63.7%
  • นำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (EMS) มาใช้  58.1% และปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 
  • ออกแบบและปรับปรุงอาคาร/โรงงานเพื่อการประหยัดพลังงาน 43.7%