เขียวทั้งกระดาน  หลัง “บราซิล” ประสบภัยน้ำค้างแข็ง -อาร์เจนตินา แล้ง

29 ก.ค. 2564 | 19:53 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ค. 2564 | 03:12 น.

ตลาดล่วงหน้าชิคาโก พลิกบวก เขียวทั้งกระดาน “ข้าวโพด-ถั่วเหลือง-ข้าวสาลี” กลับมาดีด คึก หลังรัฐบาล “บราซิล” ประกาศประสบภัยน้ำค้างแข็ง -อาร์เจนตินา ประสบภัยแล้ง-คนงานท่าเรือประท้วงหยุดงาน ของค่าแรงเพิ่ม ส่วนมณฑล “เหอนาน” สุกร ไก่ จมน้ำตาย วัตถุดิบเสียหายเป็นจำนวนมาก 

แหล่งข่าววงการค้าสินค้าเกษตร เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ตลาดชิคาโก หรือ Chicago Mercantile Exchang (CME) และ Chicago Board of Trade  (CBOT) ตลาดชิคาโก รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตร เมื่อวันที่ วันที่ 28 กรกฎาคม  2564  เขียวทั้งกระดาน เริ่มจาก “ข้าวโพด” ราคาพลิกขยับขึ้นเป็นบวก หลังรัฐบาลบราซิล ประกาศมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดและข้าวสาลี ประสบภัยน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะมีผลให้ผลผลิตมีแนวโน้มลดลง

ข้าวโพด หรือ corn

 

รวมทั้งใน Upper Midwest ที่ยังประสบปัญหาความร้อนและแห้งแล้ง, ช้าวโพดปี 2020/21 ของแอฟริกาใต้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น 7% สู่ระดับ 647 ล้านบุชเชลจากฝนที่ตกต้องตามฤดูกาลและปัจจัยด้ายสภาพอากาศเหมาะสม โดยคาดว่าครึ่งหนึ่งจะใช้ในการแปรรูปและเพื่อการบริโภคของมนุษย์ ขณะที่ กระทรวงเกษตรและสหรัฐอเมริกา (USDA) คาดการณ์ว่าจะได้มากถึง 669 ล้านบุชเชล (17.0 ล้านตัน)

 

ถั่วเหลือง หรือ soybeans

 

ส่วน “ถั่วเหลือง”  ราคาขยับขึ้นปิดบวกต่อด้วยนักลงทุนยังซึมซับข่าวที่ อาร์เจนตินา ประสบภัยแล้งจนแม่น้ำปารานาตื้นเชิน ทำให้การขนส่งสินค้าไปลงเรือใหญ่ใช้เวลามากขึ้นประจวบกับมีการประท้วงของคนงานท่าเรือที่หยุดงานเรียกร้องค่าแรงเพิ่มขึ้น รวมไปถึงสภาพการจ้างงาน รวมทั้งให้รัฐฉีดวัคซีน “โควิด-19”  ให้ครอบคลุมคนงานทั้งหมด และจีนนประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสุกร และไก่ จมน้ำตายเป็นจำนวน รวมทั้งวัตฤดิบก็เสียหายไปด้วย

 

ข้าวสาลี หรือ Wheat

 

“ข้าวสาลี”  ราคาพลิกขยับขึ้นปิดบวกจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าต่อเนื่อง และคาดการณ์คุณภาพข้าวสาลี spring wheat ที่ย่ำแย่บวกกับพื้นที่ปลูกของบราซิลประสบภัยน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะมีผลให้ผลผลิตรวมของสหรัฐและผลผลิตรวมของโลกลดลง, ฤดูการเพาะปลูกนี้จะมีการออกสำรวจของคณะสำรวจข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิต Wheat Quality Council (WQC) หลังจากยกเลิกไปในปีที่แล้วจากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19”โดยเริ่มที่รัฐนอร์ธ ดาโกตา ซึ่งพื้นที่เกือบทั้งหมดกำลังประสบภัยแล้งอย่างรุนแรง

 

เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากคณะกรรมการนโนบายการเงิน ( FOMC) ของธนาครกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-1.25% ตามเดิม รวมทั้งยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE อย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 80,000 ล้าน ดอลลาร์และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันจำนอง (MBS) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์, เฟดจะจัดประชุมประ จำปีที่เมืองแจคสันโฮล์ รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.ศกนี้ แต่ยังไม่กำหนดรูปแบบว่าจะพบหน้าหรือประชุมผ่าน VDO Conference ดังเช่นปีที่แล้ว, ขณะที่ผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาย 10 ปี ดตัวขึ้นสู่ระดับ 1.254 ส่วนอายุ 30 ปีดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 1.912%

 

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,930.93 จุด ลดลง - 127.59 จุด หรือ - 0.36% ดัชนี S&P500 ปีดที่ 4,400.64 จุด ลดลง -0.82 จุด หรือ -0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 14,762.58 จุด เพิ่มขึ้น + 1 02.01 จุด หรือ +1.70% ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปีดตัวลงในแดนลบ หลังจากประธานเฟดแถลงว่าเฟดมีมติยืนอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำและคงนโยบาย QE ต่อไป โดยเฟดยังคงอยู่ห่างไกลจากนโยบายการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ด้วยเศรษฐกิจยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการแพรระบาดของโควิด-19 ซึ่งเฟดยังต้องใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศษฐกิจ เพื่อให้มีการข้างงานเต็มศักยภาพและรักษาเสถียรภาพของราคา

 

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้น +74 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 72.39 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาขยับขึ้นปิดบวกและเป็นระดับปิดสูงสุด นับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2564 ขานรับสต็อกน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่แล้วสิ้นสุด ณ วันที่ 23 ก.ค.มีปริมาณลดลง 4.7 ล้านบุชเชล รวมทั้งสต๊อกที่เมืองคูชิงรัฐโอคลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบมีปริมาณลดลง 1.3 ล้านบาร์เรลเช่นกัน, รวมถึงสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น +26 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 74.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2564

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange Market) ส่งมอบเดือน ส.ค.ลดลง -10 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 1,799.7 ดอลลาร์/ออนซ์ ตลาดทองคำปิดตัวลงก่อนทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ แต่ด้วยผลการประชุมของเดือนที่แล้วเฟดมีมติจะขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี้ 2023 ซึ่งเร็วขึ้น 1 ปีจากกำหนดเดิม