*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,033 ระหว่างวันที่ 6-9 ต.ค. 2567 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** “ว.เชิงดอย” ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จากเหตุ “ไฟไหม้รถบัส” คณะนักเรียนและครูโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ที่เข้ามาทัศนศึกษาในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2567 และเวลาประมาณ 12.00 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ บนถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี จนมีผู้เสียชีวิตจำนวน 23 ราย และบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดผ่านการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ขณะที่คนขับรถที่หลบหนีไป ทางตำรวจก็ได้เร่งรัด กดดัน ติดตามจับกุมตัว จนวันเดียวกัน เวลา 19.30 น. ตำรวจได้จับกุมตัวที่จ.อ่างทอง แล้วนำมาสอบสวนยังดำเนินคดียัง สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับสารภาพแต่โดยดี
*** ด้านการช่วยเหลือ “เยียวยา” ครอบครัวผู้ประสบเหตุนั้น ทาง “คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย” มีมติอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต รายละ 1 ล้านบาท กรณีทุพพลภาพ รายละ 700,000 บาท กรณีบาดเจ็บสาหัส รายละ 200,000 บาท กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย รายละ 100,000 บาท โดย “ผู้เสียชีวิต”จะได้รับเงินเยียวยาทั้งสิ้น รวม 2.39 ล้านบาท ที่นอกจากเงินจากากกองทุนฯ แล้วยังได้จากประกันภัยของบริษัทรถบัส 1 ล้าน, จากกองทุนของกระทรวงยุติธรรม 2 แสนบาท, จากกองทุนกระทรวงศึกษาธิการ 1.8 แสนบาท และจากกองทุนกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 1 หมื่นบาท ซึ่งจะได้รับเงินภายในสัปดาห์หน้า
*** จากเหตุการณ์ “ไฟไหม้รถบัส” ที่เกิดขึ้น ขอฝากไปยังผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องหาทาง “ป้องกัน” ไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้ หรือ ลักษณะไหนก็ตาม เกิดขึ้นกับ เด็ก เยาวชน หรือ แม้แต่กับ ผู้ใหญ่ เอง ก็ไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก เพราะ “โศกนาฏกรรม” ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง นำมาซึ่งความเสียใจ ใจสลาย ของผู้ปกครอง หรือ ญาติมิตรที่ใกล้ชิด หรือ แม้แต่คนไทยทั้งประเทศ เห็นแล้ว หดหู่ เศร้าใจยิ่งนัก จะบอกว่า “วัวหาย” แล้วมา “ล้อมคอก” ทีหลัง ก็ต้องล้อมคอกกันหละ ดีกว่าเหตุเกิดขึ้นแล้ว ไม่ทำอะไรที่เป็นการป้องกันกันเลย...
*** อ่าว...ตะวันออกกลาง “บึ้มบั้ม” สถานการณ์หนักขึ้นมาอีกแล้ว หลัง "อิหร่าน" ประกาศยุติการโจมตีด้วยขีปนาวุธต่ออิสราเอล แต่การตัดสินใจนี้ไม่ได้ทำให้ความตึงเครียดลดลงตามที่คาดหวัง เนื่องจากอิสราเอล และ สหรัฐ ยังคงเตรียมพร้อมตอบโต้การกระทำของเตหะราน ซึ่งมีความกังวลว่าการปะทะกันครั้งใหญ่ในภูมิภาคอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำให้เมื่อเช้าวันที่ 2 ตุ.ค. ที่ผ่านมา อิหร่าน ได้เปิดปฏิบัติการยิงขีปนาวุธกว่า 180 ลูก เข้าโจมตีพื้นที่ต่างๆ ในอิสราเอล โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวจากการโจมตีฐานทัพของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
การโจมตีครั้งนี้ทำให้ระบบเตือนภัยฉุกเฉินของอิสราเอลดังขึ้นทั่วประเทศ และประชาชนในพื้นที่เสี่ยงถูกสั่งอพยพเข้าไปยังที่หลบภัยโดยทันที แม้ว่าจะไม่มีรายงานการเสียชีวิต แต่สร้างความเสียหายทางโครงสร้างพื้นฐานในหลายพื้นที่ นอกจากนี้มีรายงานว่า อิสราเอลได้โจมตีทางอากาศใส่เขตชานเมืองเบรุต ส่งผลให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้ประกาศว่า "อิหร่านจะต้องชดใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น" ขณะที่ท่าทีของทางฝั่งสหรัฐ ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า การโจมตีของอิหร่านจะต้องเผชิญกับ "ผลร้ายแรง" ที่จะตามมาและประกาศสนับสนุนอิสราเอลในการป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวว่า การกระทำของอิหร่าน "เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้" และอาจมีการตอบโต้กลับ
*** คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้จัดประชุมพิเศษเพื่อหารือวิกฤตการณ์สงครามตะวันออกกลาง โดยมีการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดการปะทะทันที โดยหัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป โจเซฟ บอร์เรลล์ ได้แสดงความกังวลว่าสถานการณ์นี้อาจบานปลายไปสู่การปะทะกันครั้งใหญ่หากไม่มีการยับยั้ง ด้านฝรั่งเศสได้เริ่มเคลื่อนกำลังทหารในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อรักษาความมั่นคงและป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะที่รุนแรงมากขึ้น ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ได้ประณามการโจมตีของอิหร่าน แต่ยังคงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางแก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจา
*** สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกมาแสดงความเห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ รวมถึงประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง หรือ สงครามตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีแนวโน้มการขยายตัวลุกลามมากขึ้น
จากสงครามมีผลทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น การขนส่งสินค้ายากลำบากมากขึ้น ราคาค่าขนส่งเพิ่มขึ้น การบริโภคทั่วโลกมีการชะลอตัวลง ยกเว้นการซื้อเพื่อตุนอาหาร โดยผลกระทบสงครามตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นนั้น มีกระจายตัวออกไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง ยุโรป หรือ กระทั่งสหรัฐ สำหรับ “ไทย” อาจได้รับผลกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง ไม่เท่ากับตะวันออกกลาง ยุโรป หรือ กระทั่งสหรัฐ โดยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ... “ว.เชิงดอย” ก็ได้แต่หวังขออย่าให้สถานการณ์บานปลายนำไปสู่สงครามระดับโลกขึ้นมาอีกเลย เพราะจะนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งโลก รวมถึงไทย
*** แม้ “เงินหมื่น” เฟสแรก จะแจกไปยังกลุ่มผู้เปราะบาง จับจ่ายใช้สอย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไปแล้ว ขณะที่ เฟส 2 ก็ยังไม่ความชัดเจนว่าจะมีเม็ดเงินลงไปเข้ากระเป๋าประชาชนเมื่อไหร่ ทำให้ทาง “ภาคเอกชน” อยากให้ “รัฐบาลแพทองธาร” เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการอื่น ล่าสุด สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จึงเตรียมขอเข้าพบนายกฯ เพื่อยื่น “สมุดปกขาว” ซึ่งเป็นข้อเสนอแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้รัฐบาล
*** โดย กกร. มีข้อเสนอ 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.การช่วยเหลือธุรกิจ SME 3.การบริหารจัดการน้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง และ 4.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะนำเสนอ อาทิ 1. มาตรการคูณ 2 โดยมองว่ากลุ่มที่พอจะมีเงินเหลือ ถ้าสามารถดึงเงินออกจากกระเป๋าคนกลุ่มนี้ไปจับจ่ายใช้สอยในลักษณะ “โครงการคูณ 2” ได้ จะเป็นการกระตุ้นต่อเนื่องจากการแจกเงิน 10,000 บาท ในเฟสแรก เช่น ถ้าควักจ่ายเงินซื้อของไป 5,000 บาท รัฐบาลก็ให้เงินอีก 5,000 บาท เป็นต้น
2. มาตรการ E-Receipt มาตรการให้ผู้ที่มีรายได้นำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอย และสามารถนำมา “ลดหย่อนภาษี” ได้ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลไม่ต้องนำเงินสดออกมาช่วยเหลือมาก และทำให้คนกลุ่มนี้ออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้คนขายของได้ ผู้ผลิตเพิ่มผลผลิตระบายสต็อกช่วงปลายปี และแรงงานมีรายได้เพิ่ม ซึ่งมองว่ามาตรการนี้ควรทำโดยเร็วที่สุด 3.มาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวที่ขณะนี้กำลังมาแรง ...นายสนั่น เรียกร้องว่ามาตรการทั้งหมดควรดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุด และทำทันที ซึ่งจะเป็นผลกระทบด้านบวกต่อเศรษฐกิจต่อไป..