นางสาวรัชนา ดังโกสินทร์ ผู้บริหาร แอลเลอร์แกน เอสเธติกส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2568 ภาพตลาดความงามยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท และเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักติดต่อกันตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความงาม บุคลิกภาพ และรูปลักษณ์ภายนอกเพิ่มขึ้น
การแข่งขันในอุตสาหกรรมความงามมีความเข้มข้นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 2-3 ราย ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ตลาดความงามกลับมาคึกคักอีกครั้ง
สำหรับกลุ่มฟิลเลอร์ จากเดิมที่มีบริษัทเพียง 1-2 ราย ปัจจุบันมีผู้เล่นมากกว่า 15 ราย ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีพันธมิตรคลินิกเสริมความงามมากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 10-15% ในทุกๆ ปี ด้วยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นสินค้านำเข้า กระบวนการผลิตเริ่มต้นจากการวิจัยและพัฒนาในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ก่อนจะส่งออกให้แต่ละประเทศนำเข้ามาจำหน่าย
ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้าและร่างกาย โดยสำหรับใบหน้า ประกอบไปด้วย1.สารลดเลือนริ้วรอย
2.ฟิลเลอร์จูวีเดิร์ม (Juvederm) เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม และ3.ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินวิป (Skinvive) ที่ช่วยเติมเต็มและฟื้นฟูสภาพผิว ส่วนในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกาย มีนวัตกรรมด้านบอดี้คอนทัวริ้ง (Body Contouring) เช่น เทคโนโลยีการกำจัดไขมันด้วยความเย็น
ล่าสุดทางบริษัทได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ในชื่อ "HArmonyCa" ซึ่งช่วยยกกระชับผิวหน้าจะเปิดตัวให้กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปในวันที่ 7 มีนาคมนี้ และคาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์นี้
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัท มีสินค้าประมาณ 10-12 รายการ ฟิลเลอร์ขายดีที่สุด คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์จูวีเดิร์มและสารลดเลือนริ้วรอย
ในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดมุ่งเน้นสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ HArmonyCa ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ โดยใช้งบประมาณทางการตลาดมากกว่า 15% ของยอดขายทั้งหมด มีการทำสื่อนอกบ้าน (Out-of-Home Advertising) และเลือกมาริโอ้ เมาเร่อ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ใช้ ต่อ ธนภพ เป็นพรีเซ็นเตอร์มาแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทเชื่อว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นที่รู้จักจะช่วยสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจและรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังขยายช่องทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น YouTube, Facebook และ TikTok โดยเพิ่มจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้ามาโปรโมทผลิตภัณฑ์มากขึ้น จากเดิมที่แทบไม่มีการใช้เลยในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันบริษัทได้เพิ่มจำนวนอินฟลูเอนเซอร์มากกว่าสองเท่าของปีที่แล้ว
ส่วนแนวโน้มของตลาดความงามเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเน้นการแต่งหน้า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับงานผิวมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินวิปได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เน้นการฉีดเพื่อปรับโครงหน้า
นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่ม Gen Y ตัดสินใจเลือกใช้บริการด้านความงามได้ง่ายกว่ากลุ่ม Gen X เนื่องจากเป็นวัยทำงานที่พร้อมจ่ายเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมาก
ปัจจุบันตลาดฟิลเลอร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยจำกัดอยู่ในกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ปัจจุบันมีคนอายุ 20 กว่าปีเริ่มเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และแนวโน้มการใช้ฟิลเลอร์จะเติบโตต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีราคาที่ย่อมเยากว่าการศัลยกรรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท ขณะที่การทำศัลยกรรมอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านบาท เทรนด์นี้ยังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และคาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต