นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้เผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ปัจจัยที่น่าห่วงหลายประการ เช่น สงครามภูมิศาสตร์และสงครามการค้า ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของโลก นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศก็ยังเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวัง
“เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 2.5% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่น่าเป็นห่วง เช่น สงครามภูมิศาสตร์ สงครามการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของโลก
ต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในบริบทของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลาย รวมถึงสงครามการค้า นโยบาย “อเมริกันเฟิร์ส” ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการตั้งกำแพงภาษีที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ประเทศไทยต้องปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อย่างการเข้ามาของ AI ต้องให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่หันมาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทยยังมีการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ค่อนข้างน้อย โดยข้อมูลจากการสำรวจเมื่อสองถึงสามปีที่แล้วพบว่า ผู้ประกอบการ SME ที่เป็นนิติบุคคลส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำในการใช้เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการท่องเที่ยว ซึ่งมีการเข้าถึงอยู่ที่ประมาณ 1.2% ในภาคการท่องเที่ยว และ 2.0% ในภาคการผลิต
“อีกความกังวลคือ หากไม่เร่งปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (productivity) จะทำให้ผู้ประกอบการ SME ไม่สามารถแข่งขันได้ในอนาคตโดยรวมแล้ว ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายและซับซ้อน”
ขณะที่นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยว่า ในปีนี้สามารถนิยามเศรษฐกิจว่าเป็น “ทุพพลภาพ” ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ยังไม่ถึงกับพิการ แต่มีการเติบโตที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
การใช้คำว่า “ทุพพลภาพ” ในการอธิบายเศรษฐกิจไทยนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถโตเกิน 3% ได้สักที โดย GDP ปี 2567 ขยายตัวได้เพียง 2.5% ต่ำกว่าคาดและต่ำที่สุดในอาเซียน และยังต่ำกว่าประเทศที่ไม่คาดคิดว่าจะต่ำกว่า เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซียอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ไม่เพียงพอและความไม่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้”
สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเฟส 3 สำหรับกลุ่มคนทั่วไป มีความคาดหวังว่าจะสามารถใช้สแกนเพื่อซื้ออาหารได้ ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะว่าควรปลดล็อกการใช้เงินดิจิทัลให้สามารถใช้ได้ในพื้นที่ต่าง ๆ แทนที่จะจำกัดเฉพาะในพื้นที่ที่มีบัตรประชาชน เนื่องจากมีคนจากต่างจังหวัดกว่า 50% เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองหลวงก่อนที่จะกระจายไปยังต่างจังหวัด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ทำงานในเมืองสามารถประคองชีวิตได้ในระยะเวลาหนึ่ง และมีเงินเหลือส่งกลับไปยังครอบครัวในต่างจังหวัดได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในต่างจังหวัดได้รุปแบบหนึ่ง
ในปีนี้ ภาคธุรกิจของประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการส่งออก ภาคธุรกิจจะต้องเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับการส่งออกที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญด้านการศึกษา โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและการศึกษาในด้านดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของแรงงานไทยในตลาดโลก การเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้จะต้องการการวางแผนและกลยุทธ์ที่ชัดเจนจากทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเพื่อให้สามารถฟื้นฟูและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,076 วันที่ 6 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2568