สภาทองคำโลก ฟันธง ทองคำยังเป็นขุมทรัพย์แห่งความมั่นคง ในยุคเศรษฐกิจผันผวน

10 ก.พ. 2568 | 07:30 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.พ. 2568 | 11:55 น.
872

กูรูคาดความต้องการทองคำ ปี 68 ยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง ทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำ พร้อมชี้ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคยังเป็นแรงสนับสนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

นายเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) ‎หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก ให้สัมภาษณ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในปี 2568 นี้ คาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป สนับสนุนด้วยนักลงทุนในกองทุน ETF ทองคำโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยลดลง แม้ว่าจะยังมีความผันผวนก็ตาม

ในทางกลับกันทองคำในภาคเครื่องประดับอาจยังคงชะลอตัวต่อไป จากราคาทองคำที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค น่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี ที่จะช่วยเสริมความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าและเป็นเครื่องมือช่วยลดผลกระทบจากความเสี่ยง

ทั้งนี้ ภายใต้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาชุดใหม่ โลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เพิ่มมากขึ้น มองว่าสิ่งนี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนจำนวนมากหันมาถือครองทองคำมากขึ้น เนื่องจากทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น

ในปี 2568 นี้ ความเห็นของตลาดโดยรวมนั้นคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) นั้นจะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่อาจจะไม่ลดลงอย่างรวดเร็วเท่ากับที่ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ โดยการดำเนินนโยบายของ Fed และทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำต่อไป

ทั้งนี้ แนวโน้มในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เราเห็นว่าปัจจัยทั้งสองประการนี้ไม่ใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่จะกำหนดผลตอบแทนของทองคำ โดยรวมแล้ว หาก Fed มีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น (Dovish) ก็จะเป็นผลดีต่อราคาทองคำ แต่หาก Fed ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก หรือเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน ปัจจัยนี้เหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันต่อความต้องการ (Demand) ในการลงทุนทองคำได้ 

"ท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้ เรามองว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงซื้อทองคำในปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่การลงทุนในกองทุน ETF ทองคำนั้นมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยยังปรับลดลงต่อไป ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนราคาทองคำให้สูงขึ้น"

นายเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) ‎หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก

แม้ว่าสภาทองคำโลก (WGC) จะไม่ได้ทำการคาดการณ์ราคาทองคำโดยตรง แต่เราสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความต้องการทองคำ ซึ่งมีความสำคัญต่อราคาได้ โดยราคาทองคำในประเทศไทยนั้น จะได้รับอิทธิพลไม่เพียงจากปริมาณความต้องการทองคำทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของค่าเงินบาทซึ่งสัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย

ทั้งนี้ มีแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงเนื่องจากการผสานระหว่างสภาวะที่เงินดอลลาร์ได้ถูกประเมินค่าไว้สูงเกินไป (Extreme Overvaluation)  และแรงผลักดันจากฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่น่าจะกดดันให้เกิดการลดอัตราดอกเบี้ยและทำให้ค่าเงินดอลลาร์สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ที่สำคัญคือประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในตลาดทองคำผู้บริโภคที่มีความแข็งแกร่งมากในกลุ่มประเทศอาเซียน

สำหรับในปี 2567 ที่ผ่านมา แม้ว่าราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูง แต่ความต้องการทองคำเครื่องประดับในประเทศไทยรวมทั้งปีกลับลดลงเพียง 2% เมื่อเทียบกับความต้องการในตลาดโลกที่ปรับลดลง 11% โดยมองว่าหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยพยุงความต้องการทองคำเครื่องประดับในประเทศคือเศรษฐกิจภายในที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำของไทยยังได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่ 4/2567 นี้โดยแตะระดับ 14.6 ตัน ส่งผลให้ยอดรวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 39.8 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับ 7 ของโลกสำหรับปี 2567

ส่วนการลงทุนทองปี 68 ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยไหมหรือไม่นั้น มองว่าจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคจะยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจสำหรับตลาดในปีนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อรักษามูลค่าและเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงต่อไป

แม้การเติบโตของทองคำในปี 2568 อาจชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2567 แต่ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ระยะยาว และยังคงเป็นองค์ประกอบหลักในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากสถานะของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย สำหรับช่วงที่เศรษฐกิจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน

"ปี 2568 คาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันและสนับสนุนตลาดทองคำต่อไป ขณะที่นักลงทุนในกองทุน ETF ก็มีแนวโน้มจะช่วยเข้ามากระตุ้นความต้องการทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง แนวโน้มดังกล่าวจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังมีความผันผวนอยู่ก็ตาม"

ในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 1,000 ตันเป็นปีที่สามติดต่อกัน (ปริมาณรวม 1,045 ตัน) และมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางอาจเข้าซื้อทองคำเกิน 1,000 ตันอีกครั้งในปี 2568 นอกจากนี้ความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นจากแรงหนุนของกองทุน ETF ทองคำก็ได้ช่วยให้การลงทุนโดยรวมเป็นเชิงบวกยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่กองทุนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้ดึงดูดกระแสเงินลงทุนให้เข้าสู่ตลาด ETF ทองคำมากขึ้น  การลงทุนในทองคำทั่วโลกได้ทำสถิติแตะระดับสูงสุดในรอบสี่ปีในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยผลักดันให้ทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนรายปีได้สูงถึงเกือบ 26% โดยมูลค่าการลงทุนทองคำรวมตลอดทั้งปีนั้นอยู่ที่ 1,180 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วเมื่อเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวดีตามที่คาดการณ์ แนวโน้มการสำรองทองคำจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น มองว่าแม้ว่าความต้องการทองคำเครื่องประดับในจีนจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มตามช่วงเวลาของปี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าแล้วจะพบว่าได้ปรับลดลงอย่างมาก

"โดยความต้องการตลอดทั้งปีลดลงมาอยู่ที่ 479 ตัน ตลอดปี 2567 ตลาดทองคำเครื่องประดับในจีนเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อมองไปในอนาคตข้างหน้า จากการที่ราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงต้นปี 2568 จึงคาดว่าความต้องการทองคำเครื่องประดับของจีนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่แนวโน้มการลดลงจะมีอัตราที่ชะลอตัวลง"

ในทางกลับกัน ด้านความต้องการลงทุนในทองคำ การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำของจีนในไตรมาสที่ 4 นั้นได้ฟื้นตัวดีขึ้นจนทำให้ยอดรวมทั้งปีแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

และความผันผวนของตลาดหุ้นจีนที่เพิ่มขึ้น ผสานกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา นักลงทุนชาวจีนเผชิญกับตัวเลือกการลงทุนที่จำกัดและสนใจการลงทุนทองคำ ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการลงทุนในทองคำของจีนจะยังคงแข็งแกร่งในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยมหภาค อัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะลดลงต่อไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ

นอกจากนี้ หากธนาคารกลางจีน (PBoC) ยังคงประกาศการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นในการลงทุนทองคำในจีนอาจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของทองคำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ จะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ นักลงทุนจีนอาจเบี่ยงเบนความสนใจจากทองคำไปยังสินทรัพย์ในประเทศอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้น หากสินทรัพย์เหล่านั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่งได้

ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้รายงานการซื้อทองคำรวมทั้งหมด 44 ตันตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน ธนาคารเข้าซื้อทองคำรวม 29 ตัน ก่อนที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำรองทองคำเป็นเวลานานหกเดือน และกลับมาซื้ออีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน โดย ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารกลางจีนรายงานว่ากำลังถือครองทองคำรวมทั้งหมด 2,280 ตัน ซึ่งคิดเป็น 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดของจีน

ปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับ 10 อันดับแรก ในกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ ประกอบด้วย อินเดีย 563.4 ตัน,
จีน (แผ่นดินใหญ่) 479.3 ตัน, สหรัฐอเมริกา 132.1 ตัน, รัสเซีย 41.2 ตัน, ตุรกี 40.9 ตัน, ซาอุดีอาระเบีย 35.0, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) 34.7 ตัน, ฮ่องกง 27.9 ตัน, อิหร่าน 26.7 ตัน และ อียิปต์ 26.1 ตัน ส่งผลให้โดยรวมทั่วโลกมีความต้องการทองคำเครื่องประดับ อยู่ที่ 1,877.1 ตัน

ปริมาณความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำ 10 อันดับแรก ในกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ ประกอบด้วย จีน (แผ่นดินใหญ่) 336.2 ตัน, อินเดีย 239.4 ตัน, ตุรกี 112.2 ตัน, สหรัฐอเมริกา 77.8 ตัน, อิหร่าน 42.3 ตัน, เวียดนาม 42.1 ตัน, ไทย 39.8 ตัน, รัสเซีย 34.4 ตัน, อินโดนีเซีย 24.5 ตัน และ อียิปต์ 24.0 ตัน ส่งผลให้โดยรวมทั่วโลกมีความต้องการทองคำเครื่องประดับ อยู่ที่ 1,186.3 ตัน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะส่งผลต่อความต้องการทองคำอย่างไรในปี 2567 หรือไม่อย่างไรนั้น มองว่าความต้องการทองคำรายปีในภาคเทคโนโลยีได้เพิ่มขึ้น 7% อยู่ที่ระดับ 326 ตัน โดยมีความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 84 ตัน ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2564

การฟื้นตัวของความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีส่วนใหญ่ได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสภาทองคำโลกมองว่าการลงทุนใน AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงดำเนินต่อไปนี้จะช่วยให้ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีจะยังคงแข็งแกร่งในปี 2568