4 บิ๊กเอกชน แนะธุรกิจรับมือความเสี่ยงใหญ่ สงครามการค้า-เทคโนโลยี

07 ก.พ. 2568 | 17:24 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.พ. 2568 | 17:36 น.

4 ผู้บริหารภาคเอกชน กล่าวบนเวทีเสวนา Economic Drives แนะภาคธุรกิจรับมือกับความเสี่ยงหลายปัจจัย โดยเฉพาะสงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี แนะวางแผนระยะยาว

วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2568) ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยในงานเสวนา Economic Drives เศรษฐกิจไทย ความท้าทาย และโอกาส ในปี 2025 เรื่อง GAME CHANGE จัดโดยโพสต์ทูเดย์ มีเนื้อหาน่าสนใจเกี่ยวกับการเตรียมตัวรับมือความเสี่ยงต่าง ๆ ของโลกว่า

การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และอาจทำให้เกิดมาตรการกำแพงภาษีเพิ่มเติมต่อจีน กระแสการย้ายฐานผลิตจากจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงชัดเจนมากขึ้น ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญ

 

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

 

"นับตั้งแต่กลางปี 2567 ที่ทรัมป์ประกาศลงสมัครเลือกตั้ง มีการคาดการณ์ถึงมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายฐานผลิตจากจีนมายังอาเซียน และหลังจากที่ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี สัญญาณของการย้ายฐานผลิตก็ยิ่งชัดเจนขึ้น” นางสาวจรีพร กล่าว

ทั้งนี้เห็นว่า ในการวางแผนธุรกิจจะต้องมองในเรื่องของระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น  เช่นวันนี้เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี จะมีการสนับสนุนธุรกิจฟอสซิลมากขึ้น แต่ในส่วนนี้ก็ต้องมองว่าในระยะยาวธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มอย่างไรให้การสนับสนุนหรือไม่ หรือว่าเรื่องนี้เป็นระยะสั้น ที่อาจกลับมาสู่รูปแบบเดิมเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯอีกครั้ง

นางสาวจรีพร กล่าวว่า WHA มองภาพระยะยาว โดยเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนในขณะเดียวกันก็มีการเข้ามาของการลงทุนจากประเทศต่างๆที่เข้ามาในอาเซียนดังนั้นเราจะต้องดูว่าจะสร้างความเชื่อมโยงในเรื่องของธุรกิจต่างๆได้อย่างไร เช่น ในส่วนของธุรกิจ Mobility ที่เริ่มต้นและสามารถทำกำไรได้กว่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากพิจารณาถึงระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไปการใช้รถไฟฟ้า (EV) จะมีมากขึ้น 

โดยในปี 2572 WHA จะมีการใช้รถ EV ในธุรกิจการขนส่งถึง 20,000 คัน ซึ่งช่วยทั้งเรื่องลดต้นทุน และลดการปล่อยคาร์บอนตามแนวทางของธุรกิจ ปัจจุบัน WHA ดำเนินธุรกิจใน 5 กลุ่มหลัก หนึ่งในนั้นคือ นิคมอุตสาหกรรม ที่มีการขยายไปยัง เวียดนาม แล้ว และขณะนี้บริษัทกำลังมองหาประเทศเป้าหมายแห่งที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสามารถรองรับนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานผลิต

นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่เพียงแต่เข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร แต่ยังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจ ทั้ง เทคโนโลยี AI กำลังเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการเงิน การค้าปลีก และระบบโครงข่าย ซึ่งช่วยให้การบริหารจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

นายเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

รวมทั้งเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม, เทคโนโลยี Cloud Computing เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของธุรกิจ ทำให้บริษัทสามารถขยายบริการได้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากขึ้น, เทคโนโลยี Big Data เพื่อช่วยให้องค์กรวิเคราะห์แนวโน้มตลาด และตัดสินใจทางธุรกิจได้แม่นยำขึ้น และ เทคโนโลยี Edge Computing

ทั้งนี้มองว่า การเปลี่ยนแปลงในอดีตมักเน้นไปที่ "Digital Transformation" ซึ่งมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจเป็นหลัก แต่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดสู่ "Digital Reinvention" หรือการคิดค้นธุรกิจใหม่จากรากฐาน ผ่านการสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดไปอย่างสิ้นเชิง โดยในปีนี้ เชื่อว่า จะมีธุรกิจใหม่ สินค้า และบริการใหม่ที่เกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยี

นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ.พราว เรียลเอสเตท (PROUD) กล่าวว่า อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวของไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ โดยเฉพาะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว แม้จะเพิ่งเริ่มฟื้นตัวหลังโควิด-19 แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาเท่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยในปีนี้ มีการประเมินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 38 ล้านคนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่40 ล้านคน 

 

นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ.พราว เรียลเอสเตท (PROUD)

 

อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนอาจไม่เพิ่มขึ้น แต่แนวโน้มที่น่าสนใจคือ ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยอยู่ที่ 50,000 บาทต่อคนต่อทริป สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 40,000 บาทต่อคนต่อทริป สะท้อนให้เห็นว่าไทยสามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวคุณภาพมากกว่าปริมาณ 

อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ นักท่องเที่ยวรัสเซียและตะวันออกกลางที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่ภูเก็ต ซึ่งพบว่ามีนักท่องเที่ยวรัสเซียอาศัยอยู่ระยะยาวมากขึ้น ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวสูงขึ้น และยังมีนักท่องเที่ยวจากอิหร่านที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก  

ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังคงต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัจจัยด้านสงครามการค้า จีน-สหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยจีนถือเป็นหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนหลักของอสังหาฯ ไทย และอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และ มาตรการควบคุมการนำเงินออกนอกประเทศของรัฐบาลจีน อาจทำให้ความสามารถในการซื้ออสังหาฯ ของนักลงทุนจีนลดลงด้วย

นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแนวทางการลงทุนด้าน AI ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้ในหลายมิติ โดยเฉพาะในไทยมีการพัฒนาโมเดล AI ที่เหมาะสมกับภาษาถิ่นและสำเนียงท้องถิ่น ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มขององค์กรไทยยังมุ่งเน้นการพัฒนา AI ที่สามารถทำงานร่วมกับโมเดลอื่นๆ ได้โดยไม่ยึดติดกับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งดด้วย

 

นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ.พราว เรียลเอสเตท (PROUD)

 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ให้บริการ AI ในไทยกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง (AI Gateway) ที่สามารถเชื่อมโยง AI จากหลายแหล่งมาใช้ร่วมกัน ช่วยให้ธุรกิจสามารถเลือก AI ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้าง AI ของตัวเองทั้งหมด
ส่วนอนาคตของ AI ปัจจุบันมีเทรนด์สำคัญที่กำลังมาแรงคือ “AI Agent” ซึ่งเป็นการพัฒนา AI ให้สามารถทำงานเชิงรุก เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม หรือวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ

โดย AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยตอบคำถามแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ทั้งนี้แม้ว่า AI จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้รวดเร็วขึ้น แต่ความท้าทายที่สำคัญคือ ความปลอดภัยของข้อมูลและความรับผิดชอบต่อการใช้งาน AI องค์กรต้องมีมาตรการป้องกันข้อมูลรั่วไหลและกำกับดูแลการใช้งาน AI อย่างรอบคอบด้วย